Martin Scorsese ชื่อนี้หลายๆคนคงคุ้นเคยกันดีแน่นอนว่าตั้งแต่มีกระแสที่เข้ามาที่มีการพูดถึงหนัง Marvel ว่าเป็นเหมือนสวนสนุก แน่นอนว่าทำให้หลายๆคนนั้นน่าจะรู้จัก ผกก คนนี้มากขึ้น แต่ถ้าใครที่สายหนัง ดูภาพยนต์มาเยอะน่าจะรู้เลยว่าท่านนี้ Martin Scorsese นั้นเป็นตำนาน และ เป็นแบบอย่างในวงการหนัง มีอิทธิพลอย่างมากในการสร้างภาพยนต์ทั่วโลกครับ เป็นแนวทางให้กับใครหลายๆคนพร้อมกับมีนักแสดงคู่ใจที่สายคุณภาพทั้งนั้น และแน่นอนว่าหลายๆคนนั้นน่าจะคุ้นเคยกันดีทั้งหนังแจ้งเกิดทั้ง Al Pacino หรือ Robert De Niro ในตัว Taxi Driver นั้นเอง และยังมีหนังในตำนานแบบ Godfather ด้วยเช่นกัน และในครั้งนี้เค้าได้สร้างตำนานมาอีกเรื่องแล้ว คือในตัว Irishman ที่ต้องกล้าบอกเลยว่าไม่มีค่ายหนังใหญ่ หนังโรงที่ไหนกล้าทำ เพราะด้วยความยาวกว่า 3 ชั่วโมง และ หนังที่มีการเล่าเรื่องในแบบของตัวเอง และ อาจจะไม่ได้ถูกใจใครหลายๆคนมากนัก แต่ Netflix เค้าทำได้ และบอกเลยว่า เป็นการพลิกวงการอีกครั้งจริงๆ เป็นหนังที่ยาว 3 ชั่วโมงกว่าที่ไม่มีความน่าเบื่อเลยจริงๆ

หนังนั้นเล่าเรื่องในแนวหนังที่อิงจากเรื่องจริงของทาง จิมมี่ ฮอฟฟา ผู้นำสหภาพแรงงานในตำนาน และ เล่าเรื่องในหลายๆจุดที่เราอาจจะไม่รู้กันซึ่งตัวหนังทำได้ดีจริงๆในแง่ของการเล่าเรื่องที่ 3 ชั่วโมงนั้นไม่มีเบื่อเลย และน่าติดตามด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเล่าเรื่องในแง่ของช่วงระยะเวลา 10 ปีและคล้ายๆกับการตีแผ่ปริศนาที่ยังไม่มีการไขกระจ่างในประวัติศาสตร์อเมริกา เช่นการหายตัวไปของจิมมี่ ฮอฟฟา และมุมมองในแต่ละช่วงของเหตุการณ์สำคัญของ อเมริกา เมื่อดูแล้วจะพบว่าไม่แปลกใจว่าทำไมหนังมันยาวววได้ขนาดนี้ เพราะเหมือนเราเดินไปกับหนังในแต่ละช่วงสำคัญของชีวิตคน คนนึงเลย ที่เข้ามาสู่เส้นสายงานแบบนี้รวมถึงมีฉากที่คอยให้เราลุ้นว่าตัวละครจะตัดสินใจยังไง และ มีการแทรกมุกอะไรเข้ามาเรื่อบๆเป็นมุขแบบที่เข้ากับตัวหนังและนิ่งๆแทรกเข้ามาให้หนังมีหลากหลายอารมณ์ เล่าเรื่องไปจนสรุปท้ายและมีบทที่พลิกอะไรเข้ามาเรื่อยๆลุ้นไปกับการตัดสินใจของตัวละครได้ดีมากๆ จนดูเพลินแบบ 3 ชั่วโมงได้สบายๆครับ คือไม่ค่อยได้เจอหนังแนวนี้และทำให้เราได้ติดตามลุ้นกันได้เรื่อยๆ

ตัวนักแสดงต้องบอกว่าเป็นการรวมนักแสดงคุณภาพ ระดับตำนาน คือเป็นนักแสดงที่คุ้นเคยกับ ผกก กันในหลายๆเรื่อย และ มีดาราที่อัดแน่นมากๆเรื่องนึงที่เคยดูมาและทำให้หนังมันทรงพลังจริงๆทั้งเรื่อง ทั้งนักแสดงหลัก และ นักแสดงสมทบ ทั้งตัว อัลปาชิโน ที่แสดงเป็น จิมมี่ ฮอฟฟา และ นักแสดงหลักของเรื่องจริงๆคือตัว โรเบิร์ต เดอ นิโร ที่เอาอยู่ทั้งเรื่องแบบไม่ต้องสงสัย และหนังแนวนี้ผมนึกคนอื่นไม่ออกเลยจริงๆว่าใครจะแสดงได้ดีกว่าตัว โรเบิร์ตแล้ว การแสดงเรื่องนี้เน้นหนักในแง่ของบทพูด และ แววตาอะไรได้ดีมากกคือนักแสดงแต่ละคนที่มาร่วมงานนั้น ทั้ง โจ เพสซิ และ คนอื่นๆที่มาเสริมนั้นทรงพลังจริงๆครับ และตัวบทอะไรแบ่งกันได้ดีและเข้าถึงตัวละครนั้นๆได้ดีมาก ซึ่งในเรื่องก็มีการเล่าเรื่องที่แตกต่างกันแต่ละวัยของตัวละครแต่ก็แสดงได้ไม่มีที่ติเลยครับ เป็นหนังที่ดูแล้วรู้เลยว่า นักแสดงคุณภาพนั้นเป็นยังไงครับ

ทางด้านงานภาพนั้นสุดอีกจริงๆทั้งเรื่องของการเล่นแสงเงา มุมกล้องแม้จะไม่ได้มีฉากแอคชั่นอะไรแต่มุมกล้องแต่ละมุมมันทำได้ดีสื่ออารมณ์ในแต่ละซีนนั้นๆอีกทั้งแต่ละช่วงยุควัยก็มีการเล่นโทนสีที่แตกต่างกันชัดเจน แต่ที่ชอบคือมุมของแต่ละซีน แสงเงา โทนสีมันสุดจริงๆครับงานภาพต้องบอกว่าสวยด้วยการจัดแสงจัดมุม ไม่ได้มี Effect อะไรล้ำแต่มันดึงดูดได้ดีมากๆ ส่วนเรื่องของเสียงเพลงประกอบเป็นเพลงยุค 60s ที่แทรกเข้ามาได้ลงตัวมากก เข้ากับตัวหนังและอารมณ์ของฉากนั้นๆได้ดี ส่วนงานเสียงซาวนด์ประกอบที่คอยปลุกอารมณ์ของแต่ละซีนให้เราลุ้นไปกับตัวละครว่าจะเอายังไง จะเลือกยังไง และจะทำอะไรต่อไป และเสริมอารมณ์ของซีนนั้นๆได้ดี รวมๆนั้นงานภาพเสียงนั้นก็ทำได้ดีอีกแล้ว

โดยรวมนั้นต้องบอกว่าจะหาหนังที่ทำได้ดีขนาดนี้ในยุคของหนังที่เน้นไปที่แนว แอคชั่น หนังตลาด อะไรแบบนี้แล้วทำได้ดีขนาดนี้มันหายากจริงๆ และถ้าจะมีใครทำได้นั้นเราก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นใครนอกเหนือจาก มาร์ติน คนนี้ และทีมนักแสดงแบบนี้ หาใครเทียบไม่ได้จริงๆครับไม่ได้เวอร์เกินไปเลยถ้าใครชอบดูหนังคุณภาพ ควรจะดูเรื่องนี้แล้วจะบอกเลยว่าเป็นหนังในตำนานอีกเรื่องของ มาร์ติน และ Netflix โหดมากที่ให้สร้างอะไรแบบนี้ออกมาด้วยความยาวแบบนี้หนังแนวนี้ในยุคนี้ที่ค่ายหนังโรงนั้นไม่กล้าทำกันแน่ๆ เป็นเรื่องแรกที่กล้าให้คะแนนเต็มจริงๆและดีที่สุดในปีนี้อันดับต้นๆที่ดูมาเลยครับ ยอมจริงๆให้กับ มาร์ติน และทีมนักแสดงคุณภาพ กับหนังแนวนี้ที่หาใครทำได้ดีๆแบบนี้ยาก