Jeep เป็นแบรนด์ที่ต้องบอกว่าหลายๆคนน่าจะรู้จักกันดีในฐานะรถสายลุย รถที่เป็นรถทหารอเมริกัน หรือจะเป็น SUV ตัวลุยรุ่นแรกๆที่ทำออกมากัน แน่นอนว่าในไทยก็ได้รับความนิยมกันพอสมควรเลยครับ โดยในเมืองนอกนั้นทาง Jeep Cherokee ในรุ่นที่เราจะมารีวิวนั้นจะเป็น ชื่อรหัส XJ ซึ่งเป็นการเปิดตัว มาตั้งแต่ปี 1984 และเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อยอดมาให้มันเป็น XJ ที่มาเสริมจากรุ่น WAGONEER SJ ที่ใหญ่โตกว่ามาก รุ่นที่เราเคยเห็นในหลวง ร9 ขับลุยน้ำนั้นเองครับ แน่นอนว่าการมาของ XJ นั้นเป็นการลุยตลาดที่ทำให้หลายๆคนจับต้องได้ง่าย ขับในเมืองได้ง่าย ลุยก็ดีมากขึ้น และในรุ่นแรกที่เปิดตัวมาพร้อมกับ 3 ประตู และ 5 ประตูเช่นกัน เป็นแชสซีส์แบบ โมโนค็อกด้วยครับ และในไทยก็เอาเข้ามาช่วงปี 1994 เป็นรุ่นตัวเหลี่ยม ที่เราน่าจะรู้จักกันดี และที่ผมเคยเขียนรีวิวไป ตอนนั้น ที่เรียกว่าโฉมเหลี่ยม เพราะมันเหลี่ยมจัดทั้งคัน ทุกมุมของตัวรถนั้นเอง

รุ่นนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ ฮิตมากๆในการใช้งานเป็นรถ SUV ที่หลายๆคนอยากได้ อยากโดนกัน ทั้งเรื่องของ การขับขี่ และ การลุยที่ในยุคนั้นหาตัวเทียบได้ยากครับ และด้วยตัวแบรนด์ jeep เองก็ถือว่ามีหลายๆคนรู้จักกันตั้งแต่นั้นมา สำหรับในไทยรุ่นที่ทางผมจะมารีวิวกันนั้นจะเป็นรุ่นที่เปลี่ยนหน้าตา หรือ เรียกได้ว่า Big Minorchange ก็ว่าได้ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนหน้าตาทั้งหมด รวมถึงภายใน แบบยกเครื่องทั้งหมด ในปี 1997 และ ในปี 2000 ก็ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์เสริมระบบ Direct Coil เข้ามา และการเปลี่ยนแปลงทั้งไฟหน้า ภายใน ฝาท้าย ประตู แก้มข้าง บอดี้รวมๆมันเยอะมาก รวมถึงแผงประตูข้างใน พวงมาลัย เรียกได้ว่าเปลี่ยนทุกอย่างเลยจริงๆ รูปทรงก็มีความทันสมัย ต้อนรับยุค 2000 ได้ดีมีความโค้งมลเยอะมากครับ  และเป็นการประกอบในประเทศไทยเช่นกัน อีกทั้งฟีเจอร์ทั้งหลากหลายก็ใส่เข้ามาทั้ง  Cruise Control  เบาะปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางคู่หน้า กระจก Auto และ อื่นๆอีกมากมายที่ใส่เข้ามาให้แน่นขึ้นกว่าเดิมเยอะทีเดียวครับ แต่รูปทรงยังคงความคลาสสิค และทันสมัยมากกว่าเดิมได้

Jeep Cherokee 4.0L XJ 2000 ตัวที่ทางผมใช้งานคันนี้เป็นรุ่นที่ปรับเปลี่ยน Big Minorchage แล้ว แต่ยังเป็นรุ่นที่ ใช้เครื่องยนต์แบบเดิมกับตัวเหลี่ยม ยังไม่ได้ใช้งาน Direct Coil นะครับ แน่นอนว่าที่เลือกตัวนี้เพราะการดูแลรักษา นั้นจะไม่ค่อยแตกต่างกับตัวเหลี่ยมมากนัก ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหา รวมถึงเรื่องอะไหล่ก็ใช้งานตัวเดียวกันทั้งหมด รวมถึง ยังใช้เครื่องแบบเดียวกับ Jeep Grand Cherokee ZJ ที่ทางผมมีอีกคัน เลยทำให้เลือกในรุ่นนี้มา สำหรับในรุ่นที่รีวิวจะเป็นตัว ขับ 4 ใช้งาน เครื่องยนต์ 4,000 cc ตัว Limited นะครับ เพราะถ้า ตัว Sport นั้นจะเป็น2,500 cc  ขับเคลื่อน 4 ล้อ Command-Trac ซึ่งจะตัดระบบขับเคลื่อนแบบ Full Time ออกไป มีแค่ 2WD /4WD Part-Time /4Lo)  และ ถ้าตัวเบาะผ้า นั้นจะเป็นชื่อ Laredo นั้นเอง ในส่วนสเปกที่ขายไทยตัวสูงสุดจะเป็นที่เรารีวิวคือตัว Limited ที่มาพร้อม เบาะหนัง และขับ 4 ครับ ทางด้านเครื่องยนต์นั้น  ครื่องยนต์เบนซินขนาด 4,000 ซีซี. 6 สูบเรียง ถูกติดตั้งใน Jeep Cherokee Limited เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ให้พละกำลังสูงสุด 185 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Selec-Trac พร้อมระบบ Shift on the fly และระบบเบรก ABS  ส่วนการขับเคลื่อนนั้น จะเป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-Time ที่มีทั้ง 4WD Part-Time ,2WD ,4WD Full-Time และ 4LOW และ สามารถเปลี่ยน จากขับ 2 เป็นขับ 4 ได้แบบไม่ต้องหยุดรถที่ค่อนข้างทำได้ดีมากๆในยุคนั้น เรียกว่า Shift-On-The-Fly ส่วนระบบต่างๆในตัวรถก็ถือว่าให้มาดีพอสมควรถ้าเทียบกับรถในยุคนั้น ทั้ง Cruise Control ต่างๆ พร้อมกับ เบาะไฟฟ้าต่างๆการพับเบาะแบนราบในด้านหลัง ที่เก็บแว่น เข็มทิศ ไฟในห้องโดยสาร 4 จุด ไฟแต่งหน้าแบบปรับความสว่างได้ หรือจะเป็น กระจกไฟฟ้า พร้อม Auto และ ปรับไฟฟ้าในกระจกมองข้าง และยังมีแอร์ตอนหลัง พร้อม ปรับระดับพัดลมแยก ในด้านหลังได้ด้วยครับ ถือว่าเป็นการปรับปรุงฟีเจอร์จากรุ่นเหลี่ยมได้เยอะมากๆรวมถึงมีที่วางแก้วน้ำมาให้เลยในตัวครับ

คันนี้แน่นอนว่าตอนเปิดตัว ราคานั้น ราคาประมาณ 1.6 ล้านบาทไทยได้ แต่ในตอนนี้ ราคาเหลือประมาณ 3 แสน สภาพสวยๆครับ รวมถึงถ้าใครจะเล่นรถพวกนี้แน่นอนว่า มีคำแนะนำให้เพิ่มเติมคือ เก็บเงินไว้เท่านึง สำหรับการบำรุงรักษา และ การไล่เปลี่ยนอะไหล่ทั้งหมด ก่อนจะนำมาใช้งานจริง และแน่นอนว่า รถอายุพวกนี้ ขับไปซ่อมไป ก็ต้องมีบ้างเช่นกันครับ แต่ถ้าถามว่ามันมีความจุกจิกในการใช้งานไหม เมื่อเทียบกับรถ ยุโรป เมกาตัวอื่นๆ ต้องบอกว่ามันไม่จุกจิกเลยนะ ถ้าเราซ่อมจบ ตั้งแต่แรก และไล่เปลี่ยน ของเหลว ท่อยาง ทั้งหลากให้มันโอเค ก็ใช้ยาวได้เลย

EXTERIOR

มากันที่ตัวรถภายนอกกันก่อนในรุ่นนี้รถผมเองนั้นจะเป็นรุ่นที่ปรับเปลี่ยนหน้าตาทั้งหมดแล้วทั้งด้านหน้า กระจกข้าง ประตู ไฟท้ายอะไรให้มันมีความโค้งมนมากขึ้นนั้นเองครับแม้ว่าจะทรงเหลี่ยนอยู่แต่ปรับหน้าให้ทันสมัยมากขึ้นนั้นเอง ทางด้านล้ออะไรยังคงเป็นล้อเดิมติดรถนะครับแต่เรื่องของยางอะไรนั้นทางผมเปลี่ยนใหม่ให้มันมีขนาดใหญ่ขึ้น และ เป็นยาง AT รวมถึงตัวรถก็ได้ยกสูงขึ้นจากมาตรฐาน 2 นิ้วครึ่งโดยประมาณเสริมโดยการรองก้อนเข้าไป ไม่ได้ยกทั้งระบบ นะครับเพื่อที่จะให้พอดีกับยางตัวใหม่และรูปทรงอะไรดูลงตัวมากขึ้น ในคันนี้ทางผมได้เปลี่ยนไฟหน้า ใหม่ทั้งหมด ยกโคมเป็น LED ด้วยทำให้หน้าตาอาจจะมีความแตกต่างกับเดิมๆรวมถึงไฟ DRL ก็ใส่เข้ามาแทนไฟตัดหมอกด้านล่างครับ ส่วนทางด้านสีนั้นยังคงเป็นสีเทาเดิมๆจากโรงงาน ไม่ได้มีการเปลี่ยนโทนสีอะไรเพิ่มเติมครับ

จริงๆโดยส่วนตัวแล้วรูปทรงของรถคันนี้มันยังคงทำออกม่ได้ค่อนข้างสวยและลงตัวแม้จะเป็นในปัจจุบันก็ตามมันมีความเป็นเอกลักษณ์ของ Jeep พอสมควรครับ มีความเหลี่ยมสัน และดูเป็นรถลุยแบบเต็มตัวได้เลยทั้งทรงของมันและการออกแบบในภาพรวมยังคงความแข็งแรง ของแบรนด์ได้ดีแตกต่างกับรุ่นใหม่ๆที่เปิดตัวกันพอสมควรครับ ต้องบอกว่ารุ่นนี้ยังคงเป็นที่นิยมสำหรับเมืองนอกเช่นกันไว้ลุย แบบดิบๆหรือจะเป็นยกสูงและไปลุยป่าอะไรพวกนั้น ในด้านหน้าจะเห็นว่ามีไฟมุม ไฟเลี้ยว อะไรมาให้ครบเลย แต่ในไทยไฟมุมจะไม่มีหลอดนะครับ ต้องไปเสริมเอง วัสดุถ้าเป็นในรุ่นนี้จะมีการเสริม กันชนที่เป็นไฟเบอร์เข้ามาเสริมตาม มุมรถมากขึ้น แต่พวกกันชนเดิมติดรถหน้าหลังยังคงเป็นเหล็กทั้งแท่งอยู่ครับ ส่วนคิ้วกันขอบประตูอะไรก็เปลี่ยนดีไซน์ใหม่รวมถึงโป่งล้อก็ติดมาให้เดิมๆ มีความโค้งมนมากขึ้น ในด้านข้างเราจะเห็นทรงที่เป็นแบบเดิม แต่ประตูมีการเปลี่ยนเล็กน้อยตรงกระจกหน้า และ บันไดข้างแถมมากับโรงงานครับ ด้านท้ายก็ยังคงเป็นไฟแนวตั้งเรียงไฟปกติ พร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 และ กันชนเหล็กตรงกลางสีเดียวกับตัวรถ อีกทั้ง มีบังโคลนอะไรมาให้ครบครับ ส่วนโครเมี่ยมเหนือป้ายทะเบียนเป้นของแต่งเพิ่มเติมนะครับ เพราะของเดิมเป็นสีเดียวกับตัวรถ และ ทุกๆคันน่าจะเจอคือ มีการแตกหักได้ง่ายต้องมีเปลี่ยนกันในหลายๆคันเลย

หน้าตรงเราจะเห็นในส่วนของรูปทรงที่ยังคงเหลี่ยมจัดได้อยู่ในทรงรถรวมๆครับ แต่ชิ้นส่วนด้านหน้ามีความโค้งมนมากขึ้น ไฟหน้าสี่เหลี่ยมใช้โคมเดิมกับรุ่นก่อนได้ และของเดิมจะเป็นไฟแบบเก่าค่อนข้างฟุ้ง และไม่สว่าง เราก็สามารถเปลี่ยนไฟแล้วแต่ชอบได้เลย ทางผมก็เปลี่ยนเป็น LED สั่งจากทางอเมริกามาก็ดีกว่าเดิมเยอะมาก ส่วนไฟเลี้ยวรุ่นนี้ให้มาข้างละ 2 หลอด และ ไฟตัดหมอกจะอยู่ข้างล่างครับ กันชนหน้าที่มากับตัวรถเป็นเหล็กทั้งชิ้นนะครับ และทางผมก็ติดกันชนเพิ่มเข้าไปอีก กระโปรงหน้าก็เป็นจุดไม่ได้เปลี่ยนจากตัวเหลี่ยมครับดีไซน์เลยยังมีความเหลี่ยมอยู่บ้าง แต่ในส่วนของกระโปรงหน้าตัวนี้ใช้งานไปสีจะลอกได้ง่าย และด่างไวเพราะความร้อนจากเครื่องมันเยอะมากๆ และด้วยอายุของตัวรถอาจจะต้องมีทำสีกันบ้างครับตามสันขอบต่างๆ กระจกมองข้างสีดำนะครับในรุ่นนี้ พร้อมพับมือ ส่วนในด้านท้ายเราจะเห็นว่ารถมีระยะจากพื้นสูงพอสมควร ฝาท้ายเป็นชิ้นเดียวไม่สามารถแยกเปิด 2 ส่วนได้ พร้อมกับไฟเบรคดวงที่ 3 และ ที่เปิดตรงข้างล่างสุดครับส่วนท่อไอเสียนั้นจะอยู่มุมขวาล่างนะครับ

ดีไซน์รายละเอียดจุดเล็กๆส่วนอื่นๆทั้งที่เปิดประตูยังคงแตกต่างกับค่ายอื่นๆเป็นการกดปุ่มเข้าไป และตัวด้านจับค่อนข้างแข็งแรงแหละหนาสำหรับดึงเปิดประตู และกระจกมองข้างทรงใหม่ และสามารถพับได้แล้วพร้อมกับ มีระบบละลายฝ้า ในส่วนของกระจกมองข้างมาให้ด้วย และปรับไฟฟ้าทั้งหมดครับ ในส่วนของล้อตัวนี้จะเป็นล้อลายสวยงามพอสมควรถ้ามองว่ามันเป็นล้อติดรถ ในขนาด 15 นิ้วพร้อมกับปัดเงาสวยงาม ส่วนข้างในจะเป็นสีเทาเข้มนะครับ ลายคล้ายๆแนวของ BBS พอสมควรเลยแหละ ส่วนยางนั้นใช้ 265/70 R15 นะครับจะใหญ่ของกว่าติดรถ คือ  225/75 R15  นั้นเองครับ เป็นล้ออัลลอย  4 ล้อ พร้อมกับล้ออะไหล่ก็เป็นลายนี้เช่นกันครับ

มาส่องไฟท้ายกันชัดๆในรุ่นนี้ไฟท้ายจะเรียงกันตรงๆปกติครับ ไฟเบรค ไฟเลี้ยว ไฟถอย และไฟทับทิม ส่วนล่างสุดนั้นจะเป็นไฟตัดหมอกหลัง ที่ในไทยตัดออกไปแต่มี ขั้วพร้อมหลอด และสายไฟมาให้ แค่ต่อสวิทช์ก็ใช้ได้เลยครับ หรือจะต่อเป็นไฟเบรคก็ทำได้เช่นกันทางผมเองก็เปลี่ยนเป็นหลอด LED ทั้งหมด เพราะโคมจะละลายได้ง่ายถ้าใช้หลอดไส้นานๆครับอันนี้แนะนำให้เปลี่ยนดีกว่า และเป็นขั้วแบบ T25 3157 นะครับ ส่วนไฟเบรคดวงที่ 3 ก็ใช้ T10 ปกติ รวมถึงไฟส่องป้ายทะเบียนด้วยครับ ส่วนด้านหน้านั้นจะเห็นว่า ไฟหน้ามันค่อนข้างแปลกๆคือไฟหน้าเดิมจะเป็นโคมแบบขุ่นๆแบบยุคสมัยก่อนครับ ทางเราเลยเปลี่ยนสั่งมาจาก อเมริกา เป็น LED ทั้งหมด พร้อมกับไฟสูงในตัว สามารถเปลี่ยนได้เลยครับ คุณภาพดีขึ้น และ ไปไม่แยงตาด้วยครับ ส่วนไฟเลี้ยวด้านหน้า 2 ดวงในโคม และ ในไฟมุมนั้นจะเป็นแทบทับทิมด้วย แต่เดิมๆนั้นจะไม่มีไฟมาให้ แต่เราสามารถเจาะใส่ได้เองเพราะเค้าเตรียมช่องไว้ให้แล้วแต่ในไทยตัดออกไปครับเลยไม่มีไฟมุม ส่วนไฟ เลี้ยวข้างตัวรถก็เป็นทรงเหลี่ยม เราก็เปลี่ยนเป็นโคมขาวและ LED อีกข้อระวังคือตะแกรงกันชนหน้า รอบๆไปและข้างๆไปนั้นจะเป็นไฟเบอร์ทั้งหมดและถอดแกะต้องระวังแตกหักง่าย

ยามค่ำคืนนั้นตัวรถในด้านหลังเอาจริงๆถ้าเทียบกับสมัยนี้ตัวรถไฟมันค่อนข้างน้อยไปมากๆครับแค่จุด 2 จุดเท่านั้นเวลาไม่ได้เหยียบเบรค ถือว่าตัวไฟท้ายค่อนข้างเล็กไปหน่อย แต่ถ้าเหยียบเบรค ไฟดวงที่ 3 และ ดวงล่างที่ต่อไว้ก็จะติดก็จะช่วยได้ในยามค่ำคืนครับ ส่วนไฟส่องป้ายก็สามารถเปลี่ยนสีขาวให้สว่างขึ้นได้ แต่ด้านท้ายจะไม่มีไฟมุมนะครับพร้อมโคมตัวไทยนั้นไม่ได้มีส่วนนี้มาให้ เมื่อมาด้านหน้านั้นไฟหรี่มุมจะติด และไฟใหญ่ติดปกติครับ ส่วนไฟด้านล่างจะเป็นตัดหมอก แต่ทางเราเปลี่ยนเป็น LED แบบ DRL แทนแล้ว เพราะไฟตัดหมอกเดิมใช้งาน และ สวิทช์ไหม้ได้ง่ายพอสมควรครับ และมีปัญหาในหลายๆคันเลยถ้าเปิดไฟตัดหมอกนานๆ ส่วนใหญ่เลยเปลี่ยนกันไปหมดครับ

ถ้าจะแนะนำจริงๆในเรื่องของไฟนั้นอยากให้ไล่เปลี่ยนเป็น LED ทั้งหมดครับเพราะด้วยความร้อนของตัวหลอดเดิมมันร้อนมากๆทำให้โคมละลายได้ง่ายและโคมมันร้อนมากจริงๆครับเลยอยากให้ลองดูเปลี่ยนไปจะดีกว่า และหาหลอดที่คุณภาพดีๆใช้งานครับ และที่สำคัญสว่างและแสงเข้มปลอดภัยขึ้นเยอะมาก ส่วนไฟหน้าก็เปลี่ยนตามงบได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นโคมใสแบบใหม่ได้ แต่ใช้หลอดเดิมครับ เพราะโคมรุ่นนี้ใช้งานเดียวกันกับ Nissan Toyota กระบะรุ่นก่อนๆได้ที่เป็นโคมทรงเดียวกันครับ หาอะไหล่อะไรไม่ยากเท่าไรนัก ส่วนไฟตรงกระจกหูช้างอันนี้ทางผมทำใส่เองนะครับก็เผื่อเป็น ไอเดียสำหรับใครที่อยากใส่ เวลาปลดล็อคมันจะติดช่วยเวลาจอดที่มืดๆได้ดีมากเลยในจุดนี้ครับ

INTERIOR

ภายในมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเหลี่ยมเยอะมากครับแน่นอนว่าเหมือนจะเป็น Model Change เลยจริงๆเปลี่ยนยกภายในทั้งหมดไม่มีจุดไหนใช้ของเดิมได้เลยครับถือว่าเปลี่ยนเยอะและใช้งานได้ง่ายขึ้น ทันสมัยมากขึ้น รวมถึงพวงมาลัยก็เปลี่ยนใหม่ พร้อมกับ CRUIS CONTROL มาให้ใช้งานแบบง่ายขึ้น แต่ไฟฉุกเฉินยังคงอยู่บนพวงมาลัยเหมือนเดิมครับแบบใช้ยากนิดหน่อย ตัวพวงมาลัยปรับได้ทั้ง ยกขึ้น ลง ครับ และมีวงกว้างมากพอสมควรเลย ไฟภายในนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งหมดนะครับ ของจริงจะเป็นสีเหลืองๆส้มๆ และมีความร้อนเยอะพอสมควรครับตรงนี้

กุญแจตัวนี้ แค่พกก็สามารถเดินเข้าไปได้แต่รถไม่เปิดนะครับ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ KEYLESS อะไรทั้งนั้นยุคนั้นเป็นระบบกดปุ่มบนรีโมทอะไรปกติเลยไม่มีอะไรเยอะและไม่มี ระบบกันขโมยอะไรครับ แต่มันมีระบบ Safety อยู่อันนี้ค่อนข้างดีมากๆ คือนอกจากสามารถกด เปิด ปิด ได้ และเมื่อล็อคมันจะมีเสียงแตรครับ *** ตัวรีโมทนั้นจะเป็นระบบช่วยกันขโมยคือ เมื่อเราปลดล็อค ด้วยรีโมท มันจะสามารถสตาร์ทเครื่องได้ปกติ  *** แต่ถ้า เราปลดล็อคไว้นานๆ และมาสตาร์ทรถ หรือดับเครื่องแล้ว มาสตาร์ท หรือ เวลาเติมน้ำมันพวกนี้ที่เราไม่ได้ กด ปลดล็อคที่รีโมท ก่อน นั้นเมื่อสตาร์ทแล้วเครื่องจะดับทันที หลักการง่ายๆคือเราต้องกดปลดล็อคที่รีโมทก่อนถึงจะสตาร์ทได้นั้นเอง ก็ถือว่าเป็นระบบที่ ป้องกันได้ระดับนึงครับ ในยุคนั้น และถ้าไม่มีตัวกุญแจแบบในภาพ แน่นอนว่าแค่กุญแจไข ปกติสตาร์ทไม่ได้แน่นอนครับ 

ภายในนั้นมีความเปลี่ยนแปลงเยอะมากๆถ้ามองรุ่นเหลี่ยมครับ ยังคงมีการใช้งานลายไม้เข้ามาตรงกลางและโทนภายในห้องโดยสารนั้นจะเป็นสี เทา สี เทาเข้มอยู่ แต่ถ้ารุ่นที่ภายนอกสีขาว หรือ สว่าง ข้างในจะเป็นสีครีมนะครับ แล้วแต่รุ่น แล้วแต่สีนั้นเอง ภายในแน่นอนว่าการออกแบบอะไรก็ถือว่าสวยอยู่ มีความชันตั้งแบบรถยุคเดิมๆครับ พร้อมกับพวงมาลัยใหญ่พอสมควรเลย ส่วนการควบคุมทั้งหมดอยู่ตรงกลาง ทั้งแอร์แบบมือบิด และ วิทยุ รวมถึง สวิทช์เปิดปิด ตัดหมอก ปัดน้ำฝนหลัง ไล่ฝ้าครับ และ ที่จุดบุหรี่ให้มา 1 และ Power Outlet อีก 1 ซ้ายขวาครบๆครับตรงพวงมาลัยก้านไฟเลี้ยวจะอยู่ข้างซ้าย และ ใบปัดน้ำฝนจะอยู่ข้างขวา ปรับหน่วงเวลาได้ละเอียดมาก ส่วนไฟหน้าเปิดปิด จะเป็นสลักดึงเอาในด้านขวาของคอนโซลครับ ส่วนที่บังแดดอะไรมาพร้อมกระจกไฟแต่งหน้า และ ข้างบนนั้นจะเป็น เข็มทิศ หน้าจอบอก อัตราการสิ้นเปลืองอะไรพวกนี้คัรบ รวมถึง กล่องเก็บแว่น กล่องเก็บรีโมทโรงรถ และ ไฟเปิดปิด แยกซ้ายขวา ครับ

การเข้าออกประตูหน้าหลัง เอาจริงๆชอบที่ขากางเกงมันไม่เลอะเวลาลงจากรถ แต่การเข้าออกนั้นด้วยจากพื้นตัวรถนั้นค่อนข้างสูงมาก และมีขนาดเล็กทำให้ขึ้นลงยากพอสมควรครับและทรงรถมันไม่ได้ใหญ่มากทำให้เพดานรถแอบเตี้ยไปหน่อยเวลาขึ้นลง และหัวโขกได้ง่ายจริงๆ อันนี้โดนมาเอง แผงประตูหน้าเป็นพลาสติก มีบุนุ่มนิดหน่อยตรงด้านบน และ ที่วางแขนครับ ที่สวิทช์ล็อคประตูมาให้ในฝั่งนี้ด้วย และตัวเบาะหน้านั้นปรับได้ 8 ทิศทาง ไฟฟ้า และ รับเอนเบาะแบบปรับมือครับ เป็นเบาะหนังจากโรงงานครับสีนี้เลย พื้นที่ข้างในนั้นนั่งได้สบายอยู่ในด้านหน้า ส่วนด้านหลังนั้นค่อนข้างเล็กพอสมควรครับถ้าคนตัวใหญ่อาจจะขึ้นยากนิดหน่อยด้วยพื้นที่มันค่อนข้างแคบครับและเบาะสูงด้วย สวนประตูมันจะเป็น 2 จังหวะสามารถกางได้สุดแบบในภาพครับแต่ตัวสลักมันชอบเลื่อนๆออกมาต้องดูตรงนี้ด้วยตรงข้อพับมันครับ และมันจะมีเสียงเวลาเปิดปิดเป็นเอกลักษณ์ของมันอยุ่และก็ไม่สามารถแก้ให้เงียบได้ด้วยนะก็แปลกดีครับ

มากันที่แผงประตูคนขับครับ ทางด้านนี้สวิทช์กระจกแอบแปลกตากับที่เราคุ้นกันอยู่บ้าง ทางด้านนี้จะเป็นตัวล็อคประตู พร้อม ควบคุมกระจกทั้งหมด และ Auto ในฝั่งคนขับ Auto ลงเท่านั้นนะครับ ขึ้นไม่ Auto และ สวิทช์ปรับกระจกมองข้างก็มีมาให้ แต่ไม่สามารถพับได้ครับ มากันที่ คอนโซลกลางนั้นจะเป็นแอร์กลาง วิทยุ พร้อมกับ สวิทช์ควบคุมแอร์ มาพร้อม ฮีทเตอร์ แอร์ค่อนข้างเย็นพอสมควรถ้าเราไปทำเรื่องแอร์และตัดฮีทเตอร์ออกครับช่วยได้เยอะมาก ส่วนหัวเกียร์เป็นตัว L พร้อมกับ เกียร์ขับ 4 นั้นจะอยู่ด้านซ้ายในภาพจะต่ำลงกว่านิดหน่อยครับ วัสดุพลาสติกเป็นแบบแข็งทั้งหมดเลยในส่วนของคอนโซล ส่วนตรงกลางนั้นมีเบรคมือ และ วางแก้วน้ำมาให้ 2 ตำแหน่ง และเห็นสวิทช์ควบคุมตรงนั้นคือ ตัวเปิด ปิดแอร์หลังครับ ส่วนที่วางแขนมีบุนุ่มมาให้นิดหน่อย และมีช่องใส่ของกำลังดีครับ

มากันที่พวงมาลัยครับมีวงค่อนข้างใหญ่เลยแหละและเป็นการออกแบบ 2 ก้านครับแน่นอนว่าเป็นหุ้มหนังด้วยรถอายุกว่า 20 ปีทำให้หนังเดิมแตกลายงา ลอกกันไปทุกคันอันนี้ทางเราหุ้มใหม่นะครับ ส่วนที่ชอบคือเป็นรถยุคเก่าแต่มี CRUIS CONTROL มาให้ด้วยอันนี้เจ๋งมากๆพร้อมกับ กด + – ความเร็วได้ในด้านขวา และตั้งค่าเร็วได้ง่ายๆครับ ส่วนตัวปัดน้ำฝนสามารถปรับได้ 1-2-3 และ สามารถหน่วงเวลาได้ ถี่มาก ปรับได้ละเอียดจริงๆครับ ส่วน ก้านๆตรงคอนโซลนั้นจะเป็นดึงเปิดไฟหน้าครับ และสามารถหมุนตัวที่เปิดไฟหน้า ปรับแสงสว่างในห้องโดยสาร รวมถึงหน้าปัดเรือนไมล์ ได้ หรือจะหมุนเพื่อเปิดไฟในเก๋งทั้งคันได้เลยแม้จะไม่ได้เปิดประตูครับ

แอร์หลังก็มีมาให้ครับในรถสายลุยแบบนี้ ถือว่าเป็นรุ่นแรกที่ใส่เข้ามา เพราะในรุ่นก่อนหน้าไม่มีมาให้ รวมถึงในรุ่น Grand Cherokee ก็ไม่มีมาให้ครับ และมาให้รวมถึงสามารถหมุนเปิดปิด และปรับพัดลมได้ 3 ระดับเลยทีเดียวแหละอันนี้ชอบมากเลยครับ พร้อมกับที่เขี่ยบุหรี่มาให้ ส่วนตรงคอนโซลบนนั้นจะเป็นแนวยาวๆพร้อมกับ มีจอ MID ยุคแรกๆ มาให้ บอกทิศทาง บอก ระยะทาง ข้อมูลการใช้เชื่อเพลิง รวมถึง ความร้อนภายนอกรถ และ เปลี่ยนหน่วยได้ด้วย และ มาพร้อมไฟแยกซ้ายขวากดลงไปที่ตัวไฟได้เลย อีกทั้งมีที่เก็บแว่นมาให้ด้วยพร้อม ที่เก็บรีโมทโรงรถ ส่วนที่ว้าวมากๆและในยุคนี้ยังไม่ค่อยมีใครทำคือ แผงบังแดดมาพร้อมไฟคู่ และ ปรับหรี่แสงได้ด้วยอันนี้เกิบหน้าเกินตารถสายลุยมากๆเลยครับ และมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง พร้อมกับบุผ้านุ่มๆมาให้แบบเดียวกับเพดาน อันนี้ของเดิมจากรถเลยไม่ได้มีการบุอะไรใหม่ ยังไม่เจออาการย้วยหรือหลุดอะไรครับ

มากับที่บรรยากาศภายในห้องโดยสาร การขับขี่อะไรนั้นในด้านหน้าถือว่าค่อนข้างสบายครับทั้งเรื่องของที่วางขาอะไรและพื้นที่เหนือศรีษะ แต่ด้วยทรงของรถที่นั่งอะไรมันค่อนข้างกระชับและไม่ได้มีพื้นที่ระยะห่างจากกระจกหน้ามาที่เคยขับมากนักเมื่อเทียบกับรถสมัยนี้ครับ ส่วนตัวเบาะนั้นเป็นเบาะหนังทรงกลางๆ มีขนาดแอบเล็กไปหน่อย แต่ที่ชอบคือ ที่รองขายาวดีครับนั่งสบาย แต่ฟองน้ำและหนังนั้นไม่ได้นุ่มเท่าตัวประกอบนอก หรือ ตัว Grand Cherokee เท่าไร ถ้าให้ขับยาวๆเลยไม่ค่อยสบายเท่าไรนักครับส่วนตรงเข่า หรือขาก็ไม่ได้ขนกับคอนโซลแม้จะดูแคบก็ตามครับถือว่าระยะความสูงอะไรทำให้วางขามาได้พอดี แต่อุโมงค์กลางจะใหญ่มากๆเลยครับตัวนี้ ส่วนเบาะหลังนั้นต้องบอกตรงๆว่าถ้าใครตัวใหญ่อาจจะนั่งได้ 2 คนกำลังดี เนื่องจากพื้นที่ Legroom สั้นพอสมควรและตื้นมากๆทำให้นั่งแล้ว เข่าจะชันๆหน่อย แตกต่างกับด้านหน้าครับ เลยไม่ได้สบายเท่าไรนักสำหรับคนสูง ที่รองขาสั้นมากๆครับ รวมถึงเบาะไม่สามารถปรับเอนได้ แต่สามารถพับเรียบได้ครับ แต่ตัวเบาะนั้น Headroom ก็ถือว่ากำลังดีหัวไม่ชนสำหรับตัวผมที่สูง 180 ครับ แต่ยังไงถ้าเน้นนั่งสบาย แนะนำไปเล่นตัว Grand Cherokee มากกว่าเยอะเลยครับ แต่ยังดีที่มีแอร์หลังมาให้ครับสำหรับตอนหลังนี้ และ เข็มขัดให้มา 3 จุด พร้อมกับตัวเบาะเดิมๆนั้นจะชันพอสมควร ให้อู่ปรับเอนได้ 1 ระดับแบบถาวรเพราะมันจะเป็นการย้ายตัวล็อคเบาะให้ถอยหลังไปมากกว่าเดิมได้ครับ แต่เมื่อปรับแล้วจะให้มันชันแบบเดิมไม่ได้นะ

ฝาท้ายในรุ่นนี้นั้นจะเปิดทั้งหมดครับไม่สามารถแยกเปิดกระจกได้ ตัวฝาท้ายมีน้ำหนักพอประมาณ ครับแต่ก็ไม่ได้หนักมากเท่าไรเหมือนจะใช้งานวัสดุไฟเบอร์ผสมกับโครงเหล็กเพื่อลดน้ำหนักตรงนี้ด้วยพื้นที่ข้างในจริงๆถ้าไม่ได้ติดแก็สจะมีพื้นที่เหลือเยอะแบบรถทั่วไปเลยแหละ แต่เนื่องจากความซดน้ำมันแบบไม่รู้จักอิ่มทำให้เลี่ยงไม่ได้จริงๆ และแก้ปัญหาจุดนี้ทำให้มีคนไทยทำ ชั้น 2 ขายสำหรับยึดในตัวรถและเป็นการเพิ่มพื้นที่ในการเก็บได้ 2 ชั้นมากกว่าเดิมและเป็นแบบเหล็กด้วยครับทำให้รองรับน้ำหนักอะไรได้แข็งแรงพอสมควรครับและหลบเหนือถังแก็สได้ดีเลยแหละ แนะนำให้ทุกคันใส่ไว้จะดีมากๆในการใช้งานขนของหรือใส่ของครับ ตัวเบาะนั้นพับได้เรียบนะถ้าไม่มีถังแก็สมาเกะกะครับ  อีกจุดข้อระวังคือตรงพวกข้อต่อข้อพับ ตามประตูพวกนี้จะมีพวกเศษใบไม้มาขวางเยอะและสะสมเป็นสนิมได้ง่ายครับ

ภายในยามค่ำคืนครับ รุ่นนี้มีไฟส่องเท้ามาให้จากโรงงานทั้ง 2 ฝั่ง และมีไฟ ตรงแต่งหน้ามาให้ 2 ฝั่งเช่นกัน ในไฟเก๋งปรับเป็นสีขาวทั้งหมดแล้วด้วยหลอด LED นะครับแต่ก็ถือว่าไฟให้มาเยอะพอสมครเลยแหละในการใช้งานจริง ทางด้านเรือนไมล์นั้นจริงๆจะเป็นสีเขียวนะครับ แต่อันนี้ทางเราเปลี่ยนเป็นหลอด LED สีขาวเลยเจอกับฟิลเตอร์สีฟ้าเลยทำให้มันออกฟ้าๆ และเข็มสีส้มครับ เรือนไมค์นั้นมี เข็ม บอกทั้ง ประจุแบต น้ำมันเครื่อง น้ำมันรถยนต์ และ ความร้อน ถือว่าละเอียดเลยแหละ และมีเลขไมค์ตรงกลาง กด รีเซ็ตทริปได้ พร้อม สัญลักษณ์เตือนขาดเข็มขัดครับ ความร้อนรถ jeep จะเกาะๆ 100 ตลอดนะครับไม่เกินนี้เป็นเรื่องปกติ ถ้าทำมาดีๆจะได้ 90+ เลยแต่ก็ร้อนกว่ารถทั่วไปเยอะเช่นกัน

พวกไฟตามสวิทช์ต่างๆจะเป็นสีเขียวนะครับ และที่ชอบคือมีไฟส่องเท้ามาให้ด้วย และสามารถเปลี่ยนหรี่ไฟอะไรได้ทั้งคันในตัวก้านไฟหน้า หรือจะหมุนเพื่อเปิดไฟในเก๋งทั้งหมดได้ครับในยามที่เราไม่ได้เปิดประตูแต่อยากเปิดไปในเก๋งครับ ก็ถือว่าเป็นรถที่ให้ไฟมาเยอะพอสมควรถ้าเทียบกับยุคเดียววันและแยกซ้ายขวาได้ดี รวมถึงแผงบังแดดก็มีไฟมาให้เยอะด้วยเช่นกันครับ แต่ถ้าใครจะซื้อหรือมีรถอยู่ถ้าเปลี่ยนเป็นไฟ LED จะช่วยถนอมโคมไฟได้เยอะมากครับ

ENGINE 

มากันที่เครื่องยนต์ตัวสูบน้ำมันกันครับ แน่นอนว่าด้วยความจุ 4,000 cc 6 สูบเน้นๆ ทำให้มันต้องมีความจุถังน้ำมัน 76 ลิตร เครื่องยนต์เบนซินมัลติพอยท์ 6 สูบแถวเรียง 4.0 ลิตร 190 แรงม้าที่ 4,600 รอบ/นาที แรงบิด 305 นิวตันเมตรที่ 3,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ในรุ่น Limited ถือว่าเป็นเครื่องตัวเดียวกับ Jeep Grand Cherokee ZJ และ XJ ตัวเหลื่อมก่อนหน้าครับ ยังไม่ใช่เครื่องที่มีระบบ Direct Coil เข้ามานะ จริงๆตัวเครื่องเดิมๆมันดีที่สุดแล้วครับ ทั้งเรื่องของพละกำลัง ของมันแต่หลายๆคนจะเปลี่ยนไปตัวอื่นๆก็ได้ แต่แน่นอนว่าไม่มีตัวไหนสู้ของเดิมได้แน่นอนครับ พละกำลังเวลาขับนั้นต่างกันเยอะเวลาลุย หรือ ขับทางไกลครับ ส่วนเสียงเครื่องนั้นดังระดับนึงเวลาเร่งครับเพราะพัดลมมันดังด้วย เนื่องจากความร้อนมันเยอะทำให้ต้องระบายให้ดีสุดครับ ตัวเครื่องนั้นจริงๆอะไหล่บางส่วนมันใช้กับพวก Nissan Toyota ได้จริงๆก็ถือว่าอะไหล่ของมันไม่แพงเลยนะ แถมยังมีของใหม่ให้สั่งจากเมืองนอก อีกทั้งอะไหล่มือสองจากญี่ปุ่นเยอะมากๆ และราคาไม่แพง อีกทั้งเรื่องความจุกจิกตัวนี้ถือว่าน้อยแล้วครับ แต่ถ้าใครซื้อมือสองอยากให้แนะนำเปลี่ยนพวก อะไหล่ เซนเซอร์ ฟลาย วีล ท่อยางอะไรให้หมดเลย

แน่นอนว่าสำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ  Part-Time รองรับขับ 2H,4H และ 4L และสามารถเปลี่ยนจาก 2 H เป็น 4 H โดยไม่ต้องหยุดรถ Shift-On-The-Fly ในชื่อ  Select Trac ในรุ่น 4.0 Limited พร้อมระบบเฟืองท้าย Limited Slip พวงมาลัยพาวเวอร์แบบลูกปืนหมุนวน ระบบช่วงล่าง Quadra-Link ช่วงล่างหน้าแบบคานแข็ง คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบแหนบ โดยทั้งช่วงล่างหน้าและหลังติดตั้งช็อกอัพแก็ส และต้องบอกว่าเป็นรถช่วงล่างแหนบ ที่นั่งสบายมากๆครับมันไม่เด้งเลยจริงๆทำออกมาได้ดีมาก มันเนียนและนั่งสบายกว่าแหนบแบบทั่วไปในคู่แข่งยุคนั้นได้ดีเลยแหละ นั่งแล้วไม่โดดไม่เด้ง หรือกระด้างอะไรเลยถือว่าเป็นช่วงล่างที่จัดการได้ดี ขับทางไกลมั่นใจมากจริงๆครับ อีกทั้ง เวลาลุยก็ตอบสนองได้ดี ถือว่าเป็นรถลุยที่จัดการช่วงล่าง การขับขี่ ได้ดีอันดับต้นๆก็ไม่เวอร์เกินไปจริงๆ อยากให้ลงขับกันครับ ขับแล้วมั่นใจในความเร็วสูง และก็ลุยได้ในเส้นทางวิบาก และการเข้าโค้งก็ทำได้ดีกว่าที่คิดแม้จะรถสูง คือสามารถเอาอยู่ได้ดีครับ พวงมาลัยน้ำหนักกำลังดีในการขับเร็ว และในเมืองก็คล่องตัวอยู่ด้วยตัวรถที่ไม่ได้ใหญ่มากเกินไปครับ และวงล้อก็ไม่ได้กว้างมากนัก แต่ระยะเบรคค่อนข้างลึกพอสมควรถ้าใครขับรถอื่นๆมาอาจจะไม่ชินเท่าไร ส่วนทางด้านอัตราเร่งก็พอประมาณไม่ได้ไวมาก 0-100 เคยจับได้ 14 วิคร่าวๆครับแบบนั่ง 2 คนล้อเดิม แต่ถ้าล้อใหญ่อะไรก็อาจจะช้าขึ้นนิดหน่อยครับ ส่วนเรื่องของเสียงรอบข้างแน่นอนด้วยตัวรถแบบเหลี่ยมๆ เสียงลมเวลาขับเร็วเยอะมากพอสมควร และ เสียงจากถนนก็เข้ามาบ้างครับถือว่าเป็นรถที่เก็บเสียงไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็สามารถเสริมยางขอบประตูอะไรช่วยได้ แต่ทรงรถแบบนี้ยังไงก็ไม่เงียบแน่นอนครับ

COMSUMPTION 

อัตราการสิ้นเปลืองนั้นต้องยอมรับเลยว่า กินดุ ซดหนัก ในการใช้น้ำมันนั้นจะใช้น้ำมันเบนซิน 91 แต่ยุคนี้หายากแล้วก็สามารถใช้งาน 95 ล้วนได้ครับไม่แนะนำให้เติม แก็สโซฮอลล์นะครับ ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองนั้นในการใช้งานน้ำมันจะได้ประมาณ คำนวณ ซดน้ำมันเน้นๆ ได้ 6 โลลิตร วิ่งทางไกล รถไม่ติด ครับ ส่วนคิดว่าน้ำมันช่วงนี้จะได้
ประมาณ กิโลละ 4-5 บาท ราคาน้ำมันช่วงนี้ ส่วนในเมืองนั้นจะซดหนักๆ 4 โลลิตรได้อยู่ครับเพราะคันนี้ผมใช้เองเลยใช้เป็นคันหลักในการเดินทางทำงาน รถติดเช้าเย็น จะได้ประมาณนั้นเลยแหละ เลยแนะนำว่าติดแก็สจะดีกว่าจะได้อัตราสิ้นเปลืองไม่ต่างกันมาก แต่จะได้ค่าแก็สที่ถูกกว่านั้นเองก็เป็นทางออกสำหรับคนที่อยากเล่นก็แนะนำติดแก็สดีกว่าครับ ก็จะใช้อัตราสิ้นเปลืองเท่าเดิม แต่ ราคาต่อกิโลนั้นจะดีกว่าเยอะเลย ตกกิโลละ 0.4 บาทประมาณครับ ก็ต้องบอกว่าใครจะเล่น คันนี้อย่างแรกต้องทำใจเรื่อง อัตราการสิ้นเปลืองของมันก่อนเลย แต่ถ้าแลกด้วยความแข็งแรงของตัวรถ การขับขี่ ลุยอะไรพวกนี้ก็ต้องได้อย่างเสียอย่างครับ เพราะตัวรถก็ถือว่าค่อนข้างหนักและกำลังเยอะมากๆ

ในส่วนของการใช้งานจริงๆในเรื่องเครื่องแน่นอนว่าพูดกันตรงๆมันจะเจอเรื่องความร้อนครับ จะไม่แปลกใจเลยว่าถ้าเห็นรถ JEEP เกือบทุกคันเวลาจอดที่ไหนก็แล้วแต่จะต้องเปิดฝากระโปรงเพราะเครื่องมันร้อนจริงๆครับ คันนี้ของผมไล่ทำพวก ระบบหม้อน้ำ พัดลมอะไรทั้งหมดใหม่แล้วทำให้ในการใช้งานในเมืองมันไม่มีปัญหาเท่าไรแต่ก็ต้องดูความร้อนถ้ารถติดช่วงกลางวันก็มีเสียวๆอยู่บ้างครับ แต่ถ้าขับทางไกลนั้นไม่มีปัญหาเลยแหละ ต้องบอกว่ามันอาจจะเป็นรถที่มีไว้ขับไป ตจว มากกว่าก็ได้ครับ ส่วนในเมืองนั้นอาจจะต้องดูกันดีๆถ้าจะใช้งานจริงก็ต้องไล่ระบบความร้อนใหม่เปลี่ยนอะไหล่ พัดลม หม้อน้ำอะไรพวกนี้ ท่อยางให้มันใช้งานได้ดีเพราะ รถมือสองเราต้องดูกันดีๆในเรื่องพวกนี้ครับ

การดูแล ค่าใช้จ่าย 

ค่าใช้จ่ายต้องบอกว่าเตรียมไว้เท่านึงของตัวรถจะดีสุดครับ เพราะแน่นอนว่ารถมือสองต้องทำใจเรื่องของปัญหา การขับไปซ่อมไปแน่ๆอยู่แล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับรถว่าจะซ๋อมจบไหมหรือจุกจิกไหม ต้องบอกว่าจากที่บ้านนั้นมีทั้ง BMW BENZ ในยุคเดียวกัน JEEP ถือว่าค่าอะไหล่ ค่าซ่อมถูกกว่าทั้ง 2 ตัวนั้นและจุกจิกน้อยกว่าเยอะมากครับ อีกทั้งเรื่องของอู่ก็มีหลายๆอู่ที่ซ่อมได้รวมถึงอะไหล่ก็ไม่ได้ยากแบบที่คิด แต่แน่นอนว่าจะไปสู้พวก รถญี่ปุ่นในตัวเดียวกันได้ยาก เพราะรถญี่ปุ่น ขับยังไงไงก็ไม่พังจริงๆครับเมื่อเทียบกับรถ โซนยุโรป อเมริกา ปีเดียวกันอาจจะด้วยระบบที่ซับซ้อนน้อยกว่าด้วยส่วนนึง ส่วนทางด้านระบบไฟฟ้าคันนี้ไม่ค่อยมีอะไรจุกจิกครับ ไม่มีปัญหาในส่วนนี้ แต่จะไปเน้นในเรื่องของ ช่วงล่าง ยางรองต่างๆ เบ้าโช๊ค ท่อยางในระบบน้ำ ระบบเครื่อง เซนเซอร์ O2 เซนเซอร์ฟลายวีล และพวกหม้อน้ำ อะไรที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ พัดลม ความร้อนพวกนี้จะแนะนำให้ไล่เปลี่ยนใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ซื้อมาจะใช้ยาวได้ดีครับ ส่วนอู่ราคาก็แล้วแต่โซนที่สะดวกได้เลยครับ เพราะหลายๆอู่ก็ไว้ใจได้และราคาก็ไม่ได้แพงเช่นกันครับ เช่นอู่ Jeep รุ่งประชา หรือ จะเป็น แถว จรัญก็มี และอีกมากมาย ลองไปตามกลุ่ม  /jeepcherokee@thailand / jeepdiy ,jeepunity กันได้เลยครับ

ข้อสังเกตประจำรุ่น 

ปัญหาประจำรุ่นหรือของ Jeep ในหลายๆคันนั้นไม่ค่อยมีอะไรมากครับจะเป็นที่เครื่อเพราะประเทศไทยมันร้อนมากๆ แต่เครื่องรุ่นนี้ในเมืองนอกก็ไม่ได้มีปัญหาเท่าไรนักแต่พอมาไทยนั้น ส่วนปัญหาจริงๆ นั้นจะเกิดจากความร้อนที่ใช้งานกันมานานๆเช่น ระบบไฟ สายไฟเก่า เซนเซอร์ จานจ่าย หัวเทียน หัวฉีด พวงยางเปื่อย มีผลต่อการขับขี่ แนะนำให้เปลี่ยนทั้งหมด ตั้งแต่ซื้อมาก อีกทั้งต้องดูพวก ระบบน้ำหมุนเวียนให้ดีครับในเรื่องของความร้อน  ถ้าใครอยากจบจริงๆนั้นจะมีพวกสายไฟจากรถญี่ปุ่นขายกันสภาพสวยๆ ทั้งระบบเปลี่ยนทั้งคัน ระบบไฟ ทั้งหมดถ้าเปลี่ยนทั้งชุดแพร ก็ประมาณ 5000-10000 บาท แล้วแต่สภาพและร้าน และในเรื่องของ อะไหล่ ตัว Jeep XJ 2002 Direct Coil จะแพงกว่าในการดูแลรักษา จะแพงกว่าในตัวที่ผมรีวิวที่จะเป็นตัวปี 2000 ครับ และเครื่องจะคนละระบบกัน เพราะตัว Direct Coil ถ้ามีปัญหาคือเปลี่ยนยุกชุด และชุดนึงไม่ต่ำกว่า 5 พันหรือเป็นหมื่นได้เลย จะเปลี่ยนเป็นชิ้นๆไม่ได้

JEEP CHEROKEE 4.0 XJ 2002 

” เป็นรถลุยที่เหมาะกับเป็นคันที่ 2 ในบ้าน ขับทางไกล เน้นสะสม ชอบลุย ชอบค่ายนี้ และ ใจรัก ”

จริงๆรถมือสองหลายๆคันถ้าเป็นรถยุโรป รถ อเมริกา คงจะเป็นคนที่ค่อนข้างชอบในแบรนด์ รักแบรนด์กันอยู่แล้วหรือจะเน้นสะสม เป็นคันที่เอาไว้ขับสนุกๆ ขับทางไกล ไปเที่ยวเขา ลุยน้ำท่วม ไปเที่ยวพวกนั้นจะตอบโจทย์กว่าเยอะครับ แต่ถ้าเอามาใช้ในเมืองก็ใช้ได้แบบที่ผมใช้อยู่แต่ต้องดูแลมันดีๆครับ เป็นรถที่ยืนยันว่ามันขับดีมากๆจริงๆ ในการขับทางไกล แถมระบบขับ 4 ของมันทำได้ดีมากๆในการกระจายแรงแม้จะไปในที่ที่ลุยๆดินโคลน ระบบขับ 4 ของค่ายนี้ยังคงทำได้ดีกว่าตัวอื่นๆชัดเจน การกระจายน้ำหนักของแต่ละล้อทำได้ดีเลยแหละ และช่วงล่างที่เกาะถนน และนิ่ง แม้จะเป็นแหนบแต่ทำได้ดีในการรับแรงสะเทือนและไม่เด้ง และการเข้าโค้งหักหลบอะไรที่ฉุกเฉินตัวรถยังคุมได้ดี อันนี้พูดจากประสบการณ์ตรงในช่วงที่มี สุนัขวิ่งตัดหน้าในช่วงเส้นทางไฟโคราชแต่ก็ยังคุมได้ดีมากในความเร็ว 80-90 ครับในการเปลี่ยนเลนส์แบบกระทันหัน ก็ในภาพรวมนั้นเป็นรถที่ค่อนข้างขับได้ดี และ ขับสนุก แต่ต้องเข้าใจมันในการดูแล รักษา ระยะยาวและช่วงเริ่มต้นให้มันจบครับ และจะสามารถใช้งานยาวๆได้เลยแหละ แต่ส่วนอื่นๆพวก วัสดุที่ตามอายุ หรือ เรื่องของสีอะไรพวกนี้ก็ต้องดูกันไปในแต่ละคันครับ หวังว่ารีวิวจะช่วยในหลายๆคนที่ชอบในแบรนด์นี้หรือกำลังดูๆรุ่นนี้อยู่บ้างครับ เป็นการรีวิวในการใช้งาน คร่าวๆสำหรับ รถสายลุยในตำนานของ jeep

ขอบคุณรูปภาพ Motor Expo จาก Grandprix

สำหรับรีวิวนี้เป็นบทความเกี่ยวกับรถยนต์ และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะนำแนะยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามติดต่อและ หามาให้อ่านกันเยอะๆขึ้นเรื่อยๆสำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr