Macbook ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์พกพาที่ต้องบอกว่าไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะสายทำงานหนักๆหรือสายโปรแกรมเมอร์ ออกแบบ ตัดต่อ แน่นอนว่าใช้งานค่ายนี้กันเยอะมากเช่นกัน ด้วยการทำงานที่แรงโหด ระบบที่ลื่นไหลทำให้หลายๆคนยังคงติดใจและใช้งาน Macbook กันหลากหลายมากกว่าเดิมและตัวผมเองก็เช่นกันจริงๆหลังจากที่ใช้งาน Macbook Pro 2013 มานานมากๆทำงานเป็นเครื่องหลักเวลาออกไปนอกสถานที่ และก็เฝ้ารอวันที่ Macbook จะมี SDXC และพอร์ตต่างๆกลับมา และจนมาถึงปี 2021 นี้ทาง Apple ได้เอากลับมาทั้งหมดทำให้พอร์ตภาพรวมไม่ต่างกับ ปี 2013 ที่ใช้อยู่ จึงถึงเวลาที่จะปรับเปลี่ยนขยับมาเป็นรุ่นใหม่และบอกเลยว่าแรงขึ้นมากๆและทุกๆด้านมีการพัฒนาเลยจะมาเล่ารีวิวในมุมมองการใช้งานจริงเทียบกับการขยับจากรุ่นปี 2013 ในรีวิวนี้กันครับ

MacBook Pro รุ่นใหม่นี้มีการพัฒนาใช้งาน ชิป Apple M1 Pro รุ่น CPU 10-core มาพร้อม core เน้นประสิทธิภาพจำนวน 8 ตัวและ core เน้นประหยัดพลังงาน 2 ตัว, GPU 16-core, ทั้งสองรุ่นมี Neural Engine 16-core, แบนด์วิดท์ความจำ 200GB/s  พร้อม หน้าจอ Liquid Retina XDR mini-LED แบบเดียวกับที่ใช้ใน iPad Pro ให้เลือกสองขนาดคือ 14.2 นิ้วและ 16.2 นิ้ว ที่มีความสว่างแบบเต็มจอเฉลี่ย 1,000nits รวมทั้งมาพร้อม P3 wide colour gamut และรองรับการแสดงสี 1 พันล้านสี ฟีเจอร์ ProMotion ที่มีรีเฟรชเรทแบบปรับได้อัตโนมัติสูงสุด 120Hz เพื่อประหยัดพลังงาน ทั้งนี้ตัวหน้าจอยังมีรอยบากบริเวณขอบบนของหน้าจอที่เป็นที่อยู่ของกล้อง FaceTime HD 1080p บอดี้ตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียมที่มีการปรับแต่งภายในให้มีพื้นที่เอื้อต่อประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่มากขึ้น รวมทั้งมีระบบระบายความร้อนที่อากาศถ่ายเทได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า 50% MacBook Pro รุ่นใหม่มาพร้อม Magic Keyboard สีดำแบบ double-anodised ที่มีแสง backlit อยู่ในปุ่มคีย์บอร์ด รวมทั้งมีปุ่ม escape ที่ใหญ่ขึ้น และไม่มี Torch Bar แล้ว นอกจากนั้นตัวแล็บท็อปยังมาพร้อมแทร็คแพด Force Touch และช่องใส่ SDXC card, พอร์ต HDMI และพอร์ต MagSafe ที่สามารถชาร์จแบต 50% ได้ในเวลา 30 นาที

เรียกได้ว่าเป็น Mac ที่กลับมาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบ และสเปกที่แรงที่สุดเท่าที่เคยทำมากันเลยนั้นเองครับ และมีให้เลือกโดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่

  • 73,900 บาท ในรุ่น 14 นิ้ว – ชิป M1 Pro CPU 8-Core, 512GB SSD
  • 89,900 บาท ในรุ่น 14 นิ้ว – ชิป M1 Pro CPU 10-Core, 1TB SSD
  • 89,900 บาท ในรุ่น 16 นิ้ว – ชิป M1 Pro CPU 10-Core, 512GB SSD
  • 96,900 บาท ในรุ่น 16 นิ้ว – ชิป M1 Pro CPU 10-Core, 1TB SSD
  • 124,900 บาท ในรุ่น 16 นิ้ว – ชิป M1 Max CPU 10-Core, 1TB SSD

UNBOX

ตัวกล่องเองนั้นแน่นอนว่ายังคงมีรูปตัวเครื่องเป็นมาตรฐานแต่ละครั้งก็มีการวางหมุนซ้ายขวา ขอบเครื่องกันไปบ้าง และครั้งนี้มาเป็นด้านหน้าตรงที่องศาหน้าจอจะตั้งตรงมากกว่ารุ่นก่อนๆพร้อมกับสีตามตัวเครื่องเป็นสีเงินนั้นเอง ตัวกล่องเน้นขนาดพอดีกับตัวเครื่องเป๊ะๆและมีอุปกรณ์พร้อมใช้งาน เน้นการรักษ์โลกมากขึ้น วัสดุหุ้มทุกอย่างเป็นกระดาษไม่มีพลาสติกหุ้มในกล่องเลยแม้แต่น้อย แต่ซีลรอบกล่องข้างนอกยังคงมีพลาสติกบางๆใส่เข้ามาให้เหมือนเดิม

เมื่อแกะข้างในเราจะเห็นว่าสาย Magsafe 3 แบบใหม่ได้สายแบบสายถักสีขาวสวยงาม และมีความยาว 2 เมตรส่วนทางด้านหัวชาร์จได้แบบ USB-C ที่ต้องบอกว่าเป็นตัวที่กำลังไฟเยอะที่สุดเท่าที่เคยทำมา 140W และขนาดไม่ได้ใหญ่มากกว่าเดิมเท่าไรแต่กำลังไฟโหดขึ้นเท่าตัวที่สามารถชาร์จแบต 50% ได้ในเวลา 30 นาที โหดมากๆครับจุดนี้

  • ตัวเครื่อง Macbook Pro 16
  • สายชาร์จแบบสายถัก Magsafe 3 ไป USB-C
  • Adaptor 140W USB-C
  • คู่มือการใช้งาน
  • สติกเกอร์ Apple สีดำ 2 ชิ้น

DESIGN

งานออกแบบแน่นอนว่ายังคงมีเอกลักษณ์ในหลายๆส่วนแต่ถ้ามองกันดีๆมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนในเรื่องของขอบเครื่องที่มีความตัดขอบตรงมากกว่าเดิมทำให้ฝาหลัง และ ฐานเครื่องเป็นแนวราบมากกว่าเดิม แต่เราจะได้งานออกแบบที่ย้อนยุคไปยัง เจนแรกของ Macbook Pro เลยทีเดียวทำให้ตัวเครื่องดูหนาตันมากกว่าเดิม แม้จริงๆแล้วถ้าเทียบกับตัว 15 นิ้ว 2013 หรือ 16 นิ้วก็ไม่ได้หนากว่าเดิมเท่าไรนักต่างกันแค่ 1 มิล และหนักกว่า 100 กรัมเท่านั้น แต่เส้นสายการออกแบบถือว่ามีผลพอสมควรในตัวเครื่องรอบนี้ทำให้มันดูตันๆหนาๆ แต่เมื่อเปิดข้างในนั้นจะเห็นขอบหน้าจอที่บางมาก และติ่งหน้าจอ รวมถึงการออกแบบข้างในที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของทางค่ายนี้ได้ลงตัว

ตัวเครื่องภาพรวมถ้ามองเทียบกับรุ่นที่ขยับมาบอกเลยว่าไม่มีความแตกต่างในแง่ของความรู้สึก น้ำหนัก ขนาดของตัวบอดี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลง หรือปรับตัวมากนัก และความหนักใหญ่ในการพกพาเองนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย แต่เราจะได้ขนาดหน้าจอใหญ่กว่าเดิมในขนาดที่เท่าเดิมจุดนี้ถือว่าดี วัสดุงานประกอบ ความแข็งแรงไว้ใจได้และด้านในเปลี่ยนบริเวณแป้นคีย์บอร์ดเป็นสีดำล้วนทั้งหมดเป็นจุดที่แตกต่างกันหลักๆ และโลโก้ด้านหลังใหญ่ขึ้นแต่น่าเสียดายไม่มีไฟข้างหลังมาให้แล้ว และที่ชอบคือ Touchpad เองนั้นขนาดใหญ่มากสะใจและใช้งานได้จริง สะดวกเวลาพกพา

ขอบหน้าจอบางขึ้น เต็มตามากกว่าเดิมแต่ก็จะแลกมากับติ่งหน้าจอ แน่นอนว่าส่วนนี้ส่วนตัวในการใช้งานจริงไม่เจอปัญหาอะไร เมื่อเข้าแอปอื่นๆก็จะเป็นการบังแถบข้างบนไปในตัว และหลายๆแอปก็สามารถใช้งานข้างๆ เป็นเมนูต่างๆได้แบบสบายๆ แต่อาจจะขัดใจแค่ว่าไม่มีสแกนใบหน้ามาให้แม้จะมีพื้นที่ติ่งเยอะพอสมควร และขอบด้านบนจะเป็นแบบโค้งมนตามหน้าจอ แต่ขอบล่างหน้าจอนั้นกลายเป็นแบบตัดเลี่ยมคมทำให้ขอบบนและล่างทำมุมคนละแบบกันและจะไม่มีโลโก้ Macbook Pro ใส่เข้ามาให้แล้วนะครับ แต่การออกแบบขอบหน้าจอช่องระบายความร้อนทำได้ดีเช่นเดิมยิงออกด้านหลัง 3 ช่องพร้อมกับการดูดอากาศจากขอบซ้าย และ ขวาม เรียกได้ว่าจัดการได้ดีมาก

ข้อพับบานพับต่างๆนั้นซ่อนได้เนียนเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนๆในแง่ของการออกแบบข้อพับต่างๆเล็กน้อยมีความแข็งแรง และสามารถเปิดด้วยมือเดียวได้แบบสบายๆเช่นเดิมเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ เรียกได้ว่าระยะห่างต่างๆในแต่ละงานประกอบทำได้เป๊ะมากๆในแง่ของการออกแบบเวลาใช้งานรวมถึงความแน่นต่างๆถือว่าทำได้ดีเช่นกันครับตัวนี้

ช่องดูดอากาศ Macbook เองใช้งานแนวนี้มาหลากหลายรุ่นในการใส่ไว้ขอบข้างเครื่องซ้าย และ ขวาครับ แทนที่จะเป็นด้านล่างแบบคอมพิวเตอร์ทั่วไปแน่นอนว่าข้อดีคือสามารถควบคุมทิศทางลมได้แบบเป๊ะๆเลยนั้นเองและรวมถึงป้องกันเรื่องฝุ่นทั้งหมดได้ดีกว่าทั่วไปด้วยเช่นกัน เราจะเห็นเลยว่ามีช่องที่เยอะมากทั้ง ซ้าย  ขวารองรับได้ดีและมีการออกแบบหลบมุมมากกว่าเดิมครับส่วนด้านหลังฝาฐานเครื่องแบบเรียบๆไม่มีความโค้งแบบรุ่นก่อนแล้ว รวมถึงมียางรองเครื่องทั้งหมด 4 มุมแบบเรียบและเสริมโลโก้ Macboook Pro เข้ามาให้ที่แตกต่างกับรุ่นอื่นๆ ที่เคยมีมา และเราจะเห็นช่องว่างงานประกอบในแต่ละส่วนบอกเลยว่ายังคงเป็นจุดเด่นของค่ายนี้ทั้งบานพับ ฝาฐานเครื่องต่างๆ

SPEC

  • ชิป Apple M1 Pro – รุ่น CPU 10-core มาพร้อม core เน้นประสิทธิภาพจำนวน 8 ตัวและ core เน้นประหยัดพลังงาน 2 ตัว, GPU 14-core, มี Neural Engine 16-core, แบนด์วิดท์ความจำ 200GB/s
  • หน้าจอ Liquid Retina XDR ขนาด 16.2 (3,456×2,234พิกเซล), มาพร้อมเทคโนโลยี ProMotion ที่ปรับรีเฟรชเรทอัตโนมัติได้สูงสุด 120Hz, ความสว่างสูงสุด 1,600nits, อัตราส่วน 10,00,000:1
  • Unified memory (คล้าย RAM) สูงสุด 32GB (สูงสุด 64GB ในรุ่น M1 Max)
  • ความจำภายในสูงสุด (SSD) 1TB  (ปรับแต่งได้เป็น: 2TB, 4TB หรือ 8TB)
  • ระบบปฏิบัติการ macOS Monterey
  • คีย์บอร์ด Backlit Magic Keyboard ที่มี Touch ID, เซนเซอร์ Ambient light,
  • แทร็คแพดแบบ Force Touch เพื่อความแม่นยำและตรวจจับแรงกด
  • Wi-Fi 6 802.11ax, Bluetooth 5.0
  • กล้องเว็บแคม FaceTime HD 1080p พร้อมหน่วยประมวลผลรูปภาพและวิดีโอ
  • ไมโครโฟนเกรดสตูดิโอ 3 ตัวที่มีระบบลดเสียงรบกวนและตรวจจับทิศทางของเสียง,
  • ช่องเสียบหูฟัง 3.5 mm ที่รองรับหูฟังที่มีความต้านทานในวงจรสูง,
  • ลำโพง 6 ตัวมาพร้อม force-cancelling woofers,
  • ระบบเสียง stereo sound แบบกว้าง รองรับระบบเสียง spatial audio เมื่อเล่นเพลงหรือหนังผ่านระบบ Dolby Atmos, Spatial audio ที่ตรวจจับตำแหน่งศีรษะเมื่อใช้งาน AirPods (รุ่น 3rd), AirPods Pro และ AirPods Max
  • พอร์ตการเชื่อมต่อ Thunderbolt x 3 3 USB Type-C รองรับการชาร์จ DisplayPort Thunderbolt 4 (สูงสุด 40 Gbps), USB 4 (สูงสุด 40 Gbps), SDXC card HDMI 2.0 MagSafe 3
  • ขนาดตัวเครื่องรุ่น 16 นิ้ว : 1.68 x 35.57 x 24.81 ซม.; น้ำหนัก: 2.1กก.
  • แบตเตอรี่ lithium-polymer 100-watt-hour รองรับการชาร์จเร็ว 140W ผ่านหัวชาร์จ USB-C,
  • โดยใช้สาย USB-C to MagSafe 3

PERFORMANCE

แน่นอนว่าประสิทธิภาพตัวนี้มาพร้อมกับ  CPU 10-core มาพร้อม core เน้นประสิทธิภาพจำนวน 8 ตัวและ core เน้นประหยัดพลังงาน 2 ตัว, GPU 14-core, มี Neural Engine 16-core, แบนด์วิดท์ความจำ 200GB/s และ มาพร้อมกับ มี Hardware accelerated เข้ารหัสและ ถอดรหัสไฟล์ H.264, HEVC, ProRes และ ProRes RAW และสามารถสตีมไฟล์วิดีโอ ProRes 4K, 8K ได้สบาย อีกทั้งยังมี รองรับการต่อใช้งานหลายหน้าจอพร้อมกัน และมี Thunderbolt I/O พร้อมกับหน่วยความจำรวมเริ่มต้นที่ 16GB สูงสุด 32GB นะครับ แต่ถ้าอยากได้ 64GB ต้องขยับไป M1 MAX  เลยนั้นเอง ถือว่าสเปกที่ให้มาเหลือเฟือในการใช้งานและถือว่าแรงมากๆเช่นกัน

สามารถทำคะแนน Cinebench R23 ไปได้สูงถึง 12329PTS ในแบบ Multicore และ 1532 ในแบบ Single Core เลยทีเดียวครับบอกเลยว่าคะแนนสุดมากๆในการใช้งานและทั่วไปสูงและนำหน้ารุ่นก่อนหน้าแบบไม่เหลือเลย ส่วนความเร็วในการอ่านเขียนนั้นสูงเช่นกันทำได้ที่ 4603 MB/s ในการเขียน และ 5465 MB/s ในการอ่านถือว่าสบายๆเหลือเฟือครับ รองรับการการทำงานระบบ MacOS ได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเห็นหลัก 7000 MB/s น่าจะสุดกว่า

SCREEN

หน้าจอตัวนี้มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 16.2 นิ้ว บทเทนโนโลยีที่ใช้ชื่อว่า Liquid Retina XDR พร้อมกับความละเอียดที่เกือบจะ 4K ที่ (3,456×2,234พิกเซล) มาพร้อมเทคโนโลยี ProMotion ที่ปรับรีเฟรชเรทอัตโนมัติได้สูงสุด 120Hz รวมถึงรองรับ ความสว่างสูงสุด 1,600nits, อัตราส่วน 10,00,000:1 และใช้หน้าจอแบคไลท์แบบ Mini-LED กว่า 10,216 ดวง แบ่งเป็นกว่า 2,554 โซน สำหรับการหรี่แสง (local dimming) ทำให้มันกลายเป็นคอมพิวเตอร์พกพาที่หน้าจอดีอันดับต้นๆไปทันทีไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสว่างสู้แสง หรือ เทคโนโลยี MiniLED ด้วยเช่นกันทำให้สีดำนั้นดำสนิทและสวยงามที่สุดเท่าที่เคยลองกันมา และแน่นอนว่างานออกแบบขอบหน้าจอบางสวยงามมากกว่าเดิม แม้จะมีติ่งหน้าจอเข้ามาแต่ก็ไม่ได้แย่ในการใช้งานจริงแทบจะไม่มีผลอะไรเลยแม้แต่น้อยครับ เพราะในหลายๆแอปเองก็จะมีหน้าเมนูบาร์มาทับกันไปรวมถึงเป็นสีดำเนียนไปจนแทบจะไม่เห็นเลยว่าเคยมีติ่งหน้าจอหรือแม้แต่บางแอปแม้จะไม่ได้ปิดติ่งแต่ก็แทรกเมนูต่างๆข้างๆทำให้ใช้งานพื้นที่ได้เต็มที่เหมือนเดิมอันนี้ทำได้ดีเลย

ความสวยสดของมันสามารถเอามาทำงานตัดต่อได้แบบสบายๆโดยที่หน้าจอไม่เจอออาการสีเพี้ยนหรือดรอปลงเลยแม้แต่น้อยแม้จะมองมุมอื่นๆในการใช้งาน และสามารถสู้แสงได้แบบสบายแม้จะเป็นหน้าจอแบบเงาแต่ก็สามารถเอาไปใช้งานทำงานนอกสถานที่แบบไม่ต้องกังวล ส่วนการหรี่แสงสุดยังคงทำได้มืดมากเช่นกันในหน้าจอ Macbook Pro ตัวนี้ซึ่งไม่แปลกใจว่าทำไมหลายคนชอบใช้งานกันเพราะสีหน้าจอที่ใช้งานจริงได้และมีค่าสีที่ตรงมากและการที่ใช้งานชื่อ XDR ก็เป็นชื่อเทคโนโลยีเดียวกับจอแยกที่ราคาสูงมากๆของค่ายนี้ด้วยเช่นกันครับถือว่าโหดมาก และความลื่นไหล 120Hz ในความละเอียดแบบนี้บอกเลยว่าลื่นไหลและเปิดมิติใหม่ในการใช้งานได้เยอะมาก

KEYBOARD

แน่นอนว่าครั้งนี้ยังคงใช้งาน Magic Keyboard และมาพร้อมแถวปุ่มฟังก์ชันแบบเต็มขนาดสำหรับ ตัว MacBook Pro ที่ครั้งนี้เราจะไม่ได้เห็น Touchbar มาให้แล้วในส่วนแถบบนทำให้เป็นปุ่มมาตรฐานทั้งหมดที่เราคุ้นเคยกันคือ F1,F12 และมาพร้อมกับคีย์ลัดต่างๆด้านบนที่จะอยู่ข้างๆกับ สแกนนิ้ว Touch ID ที่เป็นปุ่มเปิด/ปิดในตัวมุมขวาบนครับซึ่งมีทั้งปุ่ม Spotlight, การป้อนตามคำบอก และโหมดห้ามรบกวน ต่างๆ แน่นอนว่าที่เราเห็นชัดเจนคือเรื่องการออกแบบใช้งานพื้นหลังสีดำแทนสีเงินตัวเครื่องทำให้เป็นแผงดำทั้งหมดในตัวนี้และปุ่มต่างๆก็มาพร้อมกับขนาดที่คุ้นเคยกันดีปรับตัวไม่เยอะถ้ามองเทียบกับรุ่นที่เคยใช้งาน เรียกได้ว่าแทบจะอิงเอกลักษณ์เดิมไว้ได้อย่างดีรวมถึงระยะการกดและ ปุ่มความเด้งต่างๆนั้นทำได้ดีมากเช่นกัน แต่มันจะมีบางส่วนที่แอบขัดใจเช่นการออกแบบตัวอักษร

เพราะว่าถ้าเรามองไปที่ตัวอักษรไทย กับ eng เราจะเห็นว่าแบรนด์นี้ย้าย eng ไปไว้ด้านขวาของปุ่มทำให้เวลากดหรือใช้งานจะแปลกกว่าแบรนด์อื่นๆรวมถึงแปลกกว่ารุ่น 2013 ด้วยเช่นกันครับส่วนตัวชอบแบบเก่ามากกว่าหรือเน้นตัว eng ให้ใหญ่มากกว่านี้ได้จะดีกว่าพอสมควรครับ ส่วนระยะการกด ความเด้งตัวนี้ดีกว่ารุ่นก่อนๆหน้าชัดเจนและสามารถพิมพ์งาน ทำงานได้ต่อเนื่องดีด้วยเช่นกัน ส่วนเสียงนั้นเสียงและทำได้ดีแต่ให้ความรู้สึกแน่นและเป็นจังหวะกด ดีกว่ารุ่นก่อนๆ รวมถึงดีกว่า Butterfly เยอะมากเช่นกัน ทางด้านปุ่ม Caplocks ก็มีจังหวะกดทำงานเช่นเดิม

TOUCHPAD 

ทัชแพดขนาดใหญ่และเป็นจุดที่โดดเด่นที่สุดของค่ายนี้เรียกได้ว่าหาคู่แข่งได้ยากมากแม้จะออกมานานแล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องของขนาดตัวทัชแพดแต่เป็นการทำงานร่วมกับระบบได้อย่างลงตัวทั้งความลื่นไหล การกดใช้งานหรือว่าท่าทางต่างๆในการใช้งานสั่งงานทุกอย่างล้วนทำงานร่วมกันได้แบบลงตัวทำให้คนที่ใช้งาน Mac จะไม่ค่อยใช้งานเมาส์ที่ต่อแยกกันเท่าไรนักบอกเลยว่าทัชแพดค่ายนี้คือที่สุดและใช้งานข้างนอกได้ลื่นไหลและมีความสะดวกมากๆ สามารถรองรับการทำงานตัดต่อได้แบบสบายๆ รวมถึงการวางมือขนาดเต็มมือยังมีพื้นที่เหลือๆในการใช้งาน

SPEAKER

ลำโพงรุ่นนี้พัฒนาขึ้นหลากหลายเท่าตัวถ้ามองเทียบกับรุ่นปี 2013 และถ้ามองเทียบรุ่นก่อนก็เปลี่ยนแปลงเยอะมากเช่นกันรุ่นนี้ให้ลำโพงมาทั้งหมด 6 ตัวพร้อมกับรองรับ ระบบเสียง 6 ลำโพง ที่ใส่วูฟเฟอร์แบบตัดแรงสั่น 4 ตัว สามารถเล่นเสียงโน้ตที่ลงต่ำได้สูงสุดอีกครึ่งอ็อกเทฟและยังดังกระหึ่มด้วยเสียงเบสที่เพิ่มขึ้นสูงสุด 80% พร้อมด้วยทวีตเตอร์​ประสิทธิภาพสูงที่ขับเสียงร้องได้ชัดใสและอิ่มยิ่งขึ้นที่ให้มาอีก 2 ตัว และรองรับระบบเสียง Dolby Atmos – Spartial Audio ครบๆ ทำงานร่วมกับ  ระบบเสียงตามตำแหน่งจึงสามารถรองรับระบบเสียงตามตำแหน่งขณะเล่นเพลงหรือวิดีโอที่มี Dolby Atmos และสร้างมิติเสียงแบบ 3 มิติที่สลับซับซ้อนได้ และมาพร้อมกับ ไมโครโฟนคุณภาพระดับสตูดิโอ 3 ตัว ที่มีระดับเสียงรบกวนลดลง 60% ถือว่าระบบเสียงทำได้โหดและลงตัวอย่างมาก 

CONNECTOR

พอร์ตเชื่อมต่อที่กลับมาหลังจากห่างหายไปนานครั้งนี้ใส่เข้ามาให้ครบมากๆ เริ่มที่ด้านขวาเราจะเห็นพอร์ต SDXC ที่รองรับการเสียบใช้งาน SD Card เวลาจะโยนรูปถ่ายทำงานต่างๆอีกทั้งยังใส่ Thunderbolt 4 ( USB-C )เข้ามาให้พร้อมกับ HDMI ที่รองรับ การต่อภาพต่างๆเพราะถ้าเทียบกับรุ่นก่อนจะมีแค่ USB-C เท่านั้นครับ แต่ถ้ามองเทียบกับปี 2013 บอกเลยว่าทุกๆอย่างให้มาครบเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนแค่ USB-A เป็น USB-C เท่านั้นเลยจริงๆ

ส่วนด้านซ้ายเองนั้นเราจะเห็นว่า Magsafe 3 กลับมาที่พอร์ตเล็กขึ้นและเป็นสิ่งที่หลายๆคนเรียกร้องกันมานานครับ และยังได้ Thuderbolt 4 USB-C มาให้อีก 2 พอร์ต และ รูหูฟัง 3.5 มม. ใส่เข้ามาให้ครบ เรียกได้ว่าครบตามความต้องการ แม้จะเสีย Thuderbolt 4 ไป 1  พอร์ตถ้าเทียบกับปี 2019 แต่ก็ได้อะไรหลายๆอย่างมาทดแทนครบแต่จริงๆถ้ามี USB-A มาให้อีกช่องจะเทียบเท่ากับรุ่นปี 2013 เลยทีเดียวครับทำให้เป็นจุดที่น่าอัปเกรดมากๆรอบนี้

WORKING 

ในแง่ของการทำงานตัวนี้แม้จะไม่ใช่ตัวแรง M1 MAX แต่สำหรับการใช้งานส่วนตัวถือว่าเพียงพอแล้วในการทำงานหลายๆส่วนครับแน่นอนว่าแรงกว่าคอมพิวเตอร์หลายๆตัวรวมถึง PC ประกอบหลักแสนที่ทำงานอยู่ประจำวันเช่นกันถือว่าเหลือเฟือแล้วเช่นกันในแง่ของการทำงานพื้นฐานเรียกได้ว่าเกินพอครับ เพราะส่วนตัวจะใช้งานโปรแกรมตระกูล Adobe เป็นหลักกับโปรแกรมตัดต่อ Finalcut pro ซึ่งตัวนี้ก็สามารถตอบโจทย์ได้แบบสบายเช่นกันถ้าหากมองเทียบกับรุ่นก่อนๆบอกเลยว่าแรงกว่าหลายเท่าตัวและแม้แต่การเทียบกับ M1 เองก็ตามตัวนี้สามารถเอาชนะได้สบายๆ เพราะจากที่ได้ลอง Finalcut Pro การตัดต่อระดับโหดๆไฟล์ 4k 60 ก็สามารถเอาอยู่ได้แบบสบายๆรวมถึงการพรีวิว การเรนเดอร์ตัวนี้ทำได้ไวกว่ารุ่นอื่นๆชัดเจนและน่าจะเป็นรุ่นที่แรงที่สุดของ Mac เลยแหละในตัว M1 Max – M1 Pro ทั้ง 2  ตัวนี้ครับและจริงๆมันเหลือสำหรับการทำงานเรนเดอร์ 3 มิติต่างๆรองรับได้แบบไม่ต้องกังวลเลย

รวมถึง Adobe Lightroom – Photoshop ตัวนี้สามารถอ่านไฟล์และตัดต่อแต่งภาพได้ไวจนน่ากลัวเลยครับสามารถกดเปิดโปรแกรมได้เลยแบบไม่ต้องรอหน้าโหลดอะไรให้มันเยอะแยะและสามารถเปิดไฟล์หนักๆได้แบบชิลๆทำให้เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเลยแหละจากที่ทดสอบทำงานมาหลายๆวันบอกเลยว่าการเรนเดอร์ต่างๆหรือแม้แต่แต่งภาพตัวนี้สามารถรองรับได้สบาย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพหน้าจอที่ตรงสีตรงแม่นยำ และการ Export รูปหลายร้อยรูปได้ภายในไม่กี่นาที รวมถึงอ่านไฟล์ CR3 ขนาดใหญ่ของ Canon R5 ได้ไวมากๆ จากทดสอบ Export 100 รูปไม่ถึง 40 วิเลยแหละบอกเลยว่าช่วยประหยัดเวลาในการทำงานหรือแม้แต่ตัดต่อได้หลายนาทีและทำงานได้โหดรวมถึงไม่เจอเรื่องความร้อนสะสมเลยแม้แต่น้อยสามารถระบายได้ดี และไม่ได้ยินเสียงพัดลมเลยอันนี้ขอชื่นชมระบบจัดการ

MACBOOK PRO 16 M1 PRO

” Macbook ที่แรง และ ลงตัวที่สุดในรอบหลายปี หน้าจอคุณภาพสูง ความร้อนทำได้ดี “

เป็น Macbook ที่ต้องบอกเลยว่าทำได้ลงตัวที่สุดในรอบหลายๆปีไม่ว่าจะเป็นความแรงหรือแม้แต่พอร์ตเชื่อมต่อที่กลับมาเป็นจุดหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อ อีกทั้งประสิทธิภาพในการทำงานเองนั้นเหลือเฟือในการใช้งานไม่ว่าจะตัดต่อ แต่งภาพ เรนเดอร์ พลังงานที่ให้มาแม้จะเสียบปลั๊กหรือถอดปลั๊กเองนั้นไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อยยังคงทำงานได้แบบเต็มที่ โดยที่แบตก็อึดน่าจะหาคู่แข่งเทียบได้ยากมากเช่นกัน รวมถึงงานประกอบ คุณภาพหน้าจอ ลำโพง ระบบทุกอย่างพัฒนาขึ้นมาด้วยกันทำให้มันลงตัวไปทุกๆด้านอีกทั้งหน้าจอติ่งกลับไม่ใช่เรื่องที่น่าหงุดหงิดแบบที่คิดเพราะว่าถ้าเราใช้งานแอปอื่นๆก็จะปิดไปทันทีครับ แม้แต่การเขียนบทความบนเว็บต่างๆก็สามารถรองรับได้ก็จะปิดแถบไปให้เนียนตาเหมือนเดิมครับ จะมีแค่แปลกๆในเรื่องคีย์บอร์ดที่ Eng อาจจะสลับฝั่งทำให้ต้องปรับตัวช่วงแรกๆ แต่ภาพรวมบอกเลยว่าเป็นการอัปเกรดที่รอคอยมานานและประทับใจในหลายๆส่วนคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปและทำงานได้โหด

ข้อดี

  • M1 Pro ทำงานได้โหด ประสิทธิภาพสูงเกินพอ
  • ระบบระบายความร้อน พัดลมทำได้ดี เงียบและไม่ร้อน
  • หน้าจอคุณภาพสูงทั้ง สีสัน ความลื่นไหล 120Hz และ สู้แสง
  • กล้องหน้าความละเอียดสูง FHD
  • ลำโพง 6 ตัวเสียงดัง มิติเสียงดี รองรับ Atmos -Spartial Audio
  • คีย์บอร์ดตอบสนองได้ดี พิมพ์ง่าย และ ปุ่ม Fn กลับมาแล้ว
  • พอร์ตเชื่อมต่อกลับมาครบ พร้อมใช้งาน
  • แบตทำได้ดีสามารถใช้งานทั้งวันได้สบาย และ ชาร์จไวมาก
  • รองรับชาร์จ 140W  เยอะที่สุดเท่าที่ทำมา

ข้อสังเกต

  • บอดี้ตัวเครื่อง ดูหนา และ ย้อนยุคไปนิด
  • ราคาเริ่มต้นสูงขึ้น แต่สเปกให้มาคุ้มค่ามากขึ้น

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review By Nineztr