MASERATI รถยนต์ระดับ SUPERCAR ในราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาทถือว่าเป็นครั้งแรกที่ทำราคาออกมาได้ดีและคุ้มค่าขนาดนี้ ต้องยกความดีให้การใช้งาน MHEV หรือ HYBRID นั้นเองทำให้เรื่องราคาขายในประเทศไทยนั้นจับต้องได้ง่ายขึ้นและราคาคุ้มค่ามากขึ้นไปกว่าเดิม และยังคงความพรีเมี่ยม คุณภาพสูงยนตกรรมจาก อิตาลีได้ดีงามเช่นเดิมครับ ทำให้สัมผัส จับต้อง คุณภาพ การขับขี่ที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ MASERATI ได้เช่นเดิม ทางด้าน GHIBLI นั้นแม้จะออกมานานพอสมควรแต่ในเรื่องของงานออกแบบ ดีไซน์ รวมถึงการขับขี่ยังคงทำได้น่าประทับใจเช่นเดิมและยิ่งในตัว HYBRID นี้มีการเปลี่ยนแปลงภายนอก ภายในให้ทันสมัยมากขึ้นรวมถึง การปรับมาใช้ขุมพลังแบบใหม่ ครั้งแรกของค่ายที่มี มอเตอร์ไฟฟ้า 48V เข้ามาเสริมด้วยเช่นกันครับ ทำให้ใช้งานขุมพลังเล็กลงและเรื่องของ การขับขี่ พละกำลังไม่ธรรมดาเลยทีเดียว รวมถึงเรื่องของเสียงท่อ เสียงเครื่องยังคงทำได้ดุดันเช่นเดิม

GHIBLI HYBRID นั้นจะเปิดราคาเริ่มต้นที่ 5.99 ในรุ่นพื้นฐาน และมีรุ่น Grand Lusso และ Grand Sport แตกต่างกันไป ซึ่งในรีวิวนี้จะเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษแบบ Grand Sport ทำให้ราคานั้นก็เพิ่มขึ้นตามออฟชั่นการตกแต่งไปด้วยนั้นเองครับ แต่เรื่องของการขับขี่ หน้าตาบางส่วนนั้นจะไม่ได้หนีกันไปมาก จะแตกต่างกันในเรื่องของ ล้อ กันชนหน้าหลัง และ ดีไซน์สีสันบางส่วนนั้นเองครับ แต่ไฟหน้าไฟท้าย ต่างๆนั้นจะเหมือนกันทั้งหมด ซึ่งรุ่นย่อยนั้นไม่ได้มีการบอกสเปกแน่นอนเพราะว่า MASERATI เองนั้นสามารถเปลี่ยน ปรับแต่งออฟชั่นได้ตามสั่งทุกส่วนทำให้ไม่ได้มีออฟชั่นแยกแต่ละรุ่นย่อยชัดเจนนั้นเองครับ แต่เรื่องของเครื่องยนต์นั้นจะมาพร้อมกับ เครื่องยนต์ GME T4 MultiAir แบบ 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. อัดอากาศด้วย e-Booster 48V (เทอร์โบไฟฟ้า) ที่รอบต่ำ เทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยวแบบ Mono-scroll ที่รอบกลางและสูง และมอเตอร์ Mild-hybrid ให้กำลังสูงสุด 330 แรงม้า (PS) ที่ 5,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที  ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ ZF 8HP70 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง สามารถขับ  อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.7 วินาที และ ความเร็วสูงสุด 255 กม./ชม. และทางด้านช่วงล่าง และ เบรค ถ้าเป็น Grand Sport จะใช้งาน ช่วงล่างแบบ Skyhook ปรับความหนืดได้  และด้านหน้าใช้ คาลิปเปอร์BREMBO 4 Pot สีแดง ถ้ารุ่นปกติจะเป็นสีดำ นั้นเอง แต่ทั้งนี้สเปกสามารถเปลี่ยนเองได้ทั้งหมดด้วยเช่นกันครับ ในรุ่นที่รีวิวนั้นจะได้ Sunroof ไฟฟ้า แป้นเบรค อลูมีเนียม และ การตกแต่งภายในสีดำเงา รวมถึงกันชนหน้าหลังที่จะเป็นจุดสังเกตหลักๆ ในรหัสนี้ แต่ถ้ามองในเรื่องของการขับขี่ ระบบขับเคลื่อนทุกอย่างนั้นจะไม่ได้หนีจากรุ่นเริ่มต้น 5.99 ล้านบาททำให้เราได้การขับขี่ที่ไม่ธรรมดาครับแม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้นก็ตาม ต้องบอกว่าการลุยตลาดครั้งนี้ ทำราคาได้ดี และสัมผัสความแรงความคุ้มค่าได้มากกว่าเดิม

MASERATI GHIBLI HYBRID : MHEV ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท พร้อมกับ ประกัน Warranty 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และฟรีค่าบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กม.ส่วนรุ่นที่รีวิวนั้นจะเป็น Grand Sport แต่ออฟชั่นราคา เพิ่มเติมแล้วแต่การสั่งใช้งานอีกทีนึงครับ

EXTERIOR 

งานออกแบบภายนอกนั้นเราจะเห็นได้ชัดเจนว่ารูปทรงงานดีไซน์นั้นไม่ได้หนีจากรุ่นก่อนหน้าที่เป็น ดีเซล หรือ เบนซินล้วนนั้นเอง แต่การตกแต่งถ้าเทียบกับรุ่นที่เราเคยรีวิวไปแน่นอนว่ารุ่นย่อยคนละแบบกันชัดเจนครับ รวมถึงการดูว่าเป็น HYBRID นั้นจะเห็นได้ชัดเจนในเรื่องของไฟท้าย และ สีสันตามช่อง โลโก้ต่างๆนั้นเอง แต่เรื่องของรูปทรง แม้จะออกมาตั้งแต่ปี 2010 แล้วก็ตามแต่ดีไซน์รูปทรงของตัวรถต้องบอกว่าไม่ตกยุคเลยแม้แต่น้อยแม้จะมีอายุร่วม 10 ปีแล้ว และในรุ่นนี้นั้นเป็นการปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่ในบางส่วนเช่นในกันชนหน้า กระจังหน้า ไฟหน้า กันชนท้าย ทั้งหมดครับถือว่าเปลี่ยนน้อยมากๆ แต่ก็เพิ่มความทันสมัยของตัวรถได้ดีเลยแหละ เพราะต้องบอกกันก่อนว่าค่ายนี้แต่ละโมเดลออกมาคือขายยาวนานมาก และแต่ละโมเดลนั้นบางทีไม่ได้ทำต่อเนื่องเลยทำให้การออกแบบแต่ละรุ่นนั้นมีความใส่ใจในงานออกแบบเน้นมากๆ ทำให้ดีไซน์มันอมตะและดูสวยนานจริงๆครับจุดนี้ต้องยอมรับค่ายนี้เลยทีเดียว ดีไซน์ภาพรวมนั้นมีความเตี้ย แบนและมีกระโปรงหน้ายาว และเส้นสายชัดเจนมีบ่าสวยงามทำได้ลงตัวมากเลยครับ เส้นสายมัดกล้ามชัดเจนและการที่กดหน้าต่ำเห็นซุ้มล้อหน้าทำให้มันดูดุดันขึ้นเยอะมากครับ และการตกแต่ง Grandsport เส้นสายช่องดักลมด้านหน้าต่างๆนั้นมีความคม เส้นสายดุดัน และลายล้อกระจังหน้าเข้มขึ้นชัดเจน

แน่นนอว่าทางด้านรูปทรงการออกแบบของตัวรถนั้นการที่ทาง Maserati พยายามเน้นด้านหน้าให้มีความยาวคล้ายกับรถยนต์สปอร์ตส่งผลให้ทรงของตัวรถนั้นมีความโดดเด่นกว่า Sedan ทั่วไปแบบชัดเจนครับด้านหน้าที่กดต่ำจนเตี้ยแบน ดันซุ้มล้อด้านหน้าให้มีความสูง และ เห็นทรงเป็นมัดกล้ามส่งผลให้เวลาเจอแสงเงานั้นดูมีความลึกนูนได้ชัดเจนและทรงของไฟหน้า กระจังหน้าส่งให้รถมีความดุดันชัดเจน ด้านหลังนั้นมีความสั้นและเน้นเส้นสายบ่าด้านข้างทำให้มีความแบนมากขึ้นและทรงรถภาพรวมคล้ายกับรถยนต์ Supercar มีกลิ่นอายมาผสมอยู่ในด้านหลังเมื่อมองไกลๆ และในด้านข้างเราจะเห็นซุ้มล้อหน้าหลังนั้นมีความเด่น ดูมีความดุดันมากๆตัวรถค่อนข้างเตี้ย ฝากระโปรงหน้ามีความยาวส่งผลให้ภาพรวมของรถดูกระฉับกระเฉง มีความเป็นรถยนต์ 2 ประตูแบบรุ่นก่อนๆแต่ยังออกแบบให้ใช้งานได้4 ประตูได้แบบลงตัวรวมถึงท่อไอเสีย 4 ท่อจริงพร้อมกับสีน้ำเงินนั้นมีความโดดเด่นขึ้นจากเดิมชัดเจนมากๆ

ทางด้านหน้าตรงทำให้เราเห็นเอกลักษณ์ของ Maserati แบบชัดเจนขึ้นทั้งตัวกระจังหน้าที่มีความใหญ่เด่นทรงดุดันพร้อมกับ โลโก้ ตรีศูลชัดเจน อีกทั้งในรุ่น Grandsport นั้นจะเป็นกระจังหน้าสีดำ พร้อมกับ กันชนแบบสปอร์ตนั้นเองอีกทั้งตัวรถ แน่นอนว่ามีความต่ำมากๆเมื่อเทียบกับตำแหน่งที่ติดตั้งป้ายทะเบียนของคันนี้ครับ ด้านหน้าเป็นส่วนที่สวยลงตัวมากที่สุดในบรรดารถยนต์ Sport Sedan ในระดับเดียวกันดูหรู พรีเมี่ยม และมีความดุดันไปในตัวส่วนตัวค่อนข้างชอบงานออกแบบด้านหน้าค่ายนี้มากกว่าคู่แข่งพอสมควร ส่วนในด้านท้ายนั้นต้องบอกว่าไฟท้ายเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด พร้อมกับเส้นสายไฟสวยงามทันสมัยมากขึ้นเยอะครับ และชุดกันชมล่างแบบสปอร์ต พร้อมกับท่อ ท่อจริงสวยงามถือว่าด้านท้ายดูหนาแน่น และเส้นบ่าชัดมากและชุดกันชนล่างแบบสปอร์ตจะเห็นว่ามีส่วนของสีดำเส้นสายเข้ามาเห็นได้ชัดเจนและสวยงามมากกว่ารุ่นปกติในแบบก่อนหน้าเยอะมาก และไฟท้ายเด่นชึ้นทันสมัยขึ้นหลายเท่าตัว

กระจังหน้าในรุ่น Grandsport นั้นจะเป้นการใช้งานสีดำเงาทั้งหมดในส่วนของซี่แนวตั้ง และโลโก้ รวมถึงเส้นสายขอบด้านบนที่เป็นติ่งยังคงใส่เข้ามาแน่นอนว่ารุ่นนี้โลโก้เป็นแบบโลโก้จริง ไม่ได้มีฟีเจอร์ Radar อะไรครับเลยเป็นโลโก้แบบ 3 มิตินูนต่ำมาตรฐาน รวมถึงในตัวกล้องหน้ากล้องรอบคัน นั้นรุ่นนี้ไม่ได้เลือกฟีเจอร์เข้ามาครับทำให้เราไม่เห็นกล้องหน้า ส่วนช่องดักลมด้านข้างนั้นเราจะเห็นว่าเป็นช่องจริงทั้งหมด และเส้นสาย ปากคว่ำดุดันเสริมเข้ากับกระจังหน้าได้ดีมาก แต่ถ้ารุ่น Grand Lusso นั้นจะเป็นแบบ ทรงหงายขึ้นและไม่ได้มีการแบ่ง 3 ส่วนแบบนี้ครับ ส่วนไฟหน้านั้นจะเป็นทรงแบบเดิมทั้งหมดพร้อมกับ รายละเอียดภายในโคมที่รองรับการใช้งาน MATRIX LED แบบเต็มที่ รวมถึงมีไฟมุมสีส้ม และไฟ DRL รวมถึงไฟเลี้ยวในขอบด้านบนในภาพครับถือว่าเส้นสาย ความสว่างทำได้ดี

ท่อไอเสียน่าจะเป็นอีกจุดเด่นในเรื่องของการใช้งานมากที่สุดในคันนี้อีกจุดครับแน่นอนว่าเรื่องเสียงท่อ เสียงเครื่องยนต์ MASERATI ไม่เคยทำให้เราผิดหวังและในรุ่นนี้แม้จะเป็นเครื่องเล็กลงแต่ท่อให้มาเน้นๆ 4 ท่อทั้งหมด และใช้งานได้จริงทั้งหมดรวมถึงมีการเปิด ปิดเสียงได้ชัดเจนมากขึ้นเมื่อใช้งาน Sport Mode ครับ อีกทั้งการวางท่ออะไรยังคงทำได้สวยงามและเข้ากันกับกันชนด้านหลังได้แบบลงตัวเช่นเดิม และทางด้านแบรนด์ยังคงเป็นตัวเขียนพิเศษ ตรงกลางพร้อมกัน การออกแบบจะงอยตรงกลางเส้นโครเมี่ยมเป็นเอกลักษณ์ที่ใส่เข้ามาทุกรุ่นของค่ายนี้พร้อมกับฝาท้ายไฟฟ้า และกล้องมองหลังใส่เข้ามาให้อีกทั้ง ไฟท้ายเป็นจุดเด่นที่สุดของรุ่นนี้ที่เปลี่ยนแปลงงานออกแบบใหม่ทั้งหมด แม้จะเป็นโคมเดิมก็ตามครับแต่เส้นสาย Lighting Guide สวยงามมากในตัว L คว่ำและไฟเบรก ไฟถอยแบบเส้นตรงๆ LED ทั้งหมด รวมถึงไฟตัดหมอกข้างหลังก็ยังใส่เข้ามาให้ในโคมพร้อมใช้งานแบบเต็มที่ครับ

แน่นอนว่าในรุ่น GrandSport นั้นนอกเหนือจากการตกแต่งยังคงมีตัวล้อที่แตกต่างกันครับ ตัวนี้จะได้ จานเบรก 2 ชิ้น Dual Cast พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดง Brembo ที่เขียน MASERATI และใช้งาน ล้ออัลลอย Urano ปัดเงา ขอบ 20 นิ้ว ขนาดใหญ่ 7 ก้านคู่ครับบอกเลยว่าลงตัวและเข้ากันขนาดของตัวรถได้ดีชัดเจน ซึ่งสีเบรก หรือลายล้อจริงๆสามารถเลือกเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ทำให่รถคันนี้มันไม่ได้มีสเปกอะไรตายตัวนั้นเอง คนซื้อปรับได้ทั้งหมดครับ

แน่นอนว่าเอกลักษณ์ช่อง 3 ช่องในค่ายนี้ยังคงใส่เข้ามาให้ทุกรุ่นและรุ่นนี้ยังคงมีใส่เข้ามาแต่ด้วยความเป็น HYBRID จะมีความแตกต่างกับรุ่นปกติคือในเรื่องของสี จะเป็นสีขอบแบบ Cobalt Blue นั้นเองซึ่งจะมีความเด่นมากๆถ้าตัวรถเป็นสีอื่นครับแต่อันนี้ก็จะเป็นโทนแตกต่างกับตัวรถอยู่เล็กน้อยนะ และสามารถเลือกสีอื่นๆได้ถ้าไม่ชอบสีฟ้า Hybrid ครับ รวมถึงโลโก้ตรงเสา C ด้วยเช่นกันจะเป็นขีดแบบสีฟ้า แต่ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนได้เช่นกันครับ

ด้านข้างและดูดุดันขึ้นมาอีกในเรื่องของเส้นสายบ่าข้างหลังนั้นยังคงเล่นกับแสงเงาได้ดีเช่นเดิมและกระจกประตูหลังนั้นจะพอดีกับประตูเลยไม่มีกระจกต่อมาครับและการออกแบบกระโปรงท้ายที่มาพร้อมกับคล้ายๆ Ducktail ในตัวรวมถึงเสาอากาศแบบครีบฉลามทำให้ตัวรถดูมีเส้นสาย โค้งเว้าได้เด่นขึ้นมากครับและล้อ 20 นิ้วถือว่ากำลังดีกับตัวรถในทรงแบบนี้ในการขับขี่ในเมือง ท้ายรถสั้นกระชับกำลังดี ส่วนในด้านหน้านั้นแน่นอนว่าหน้ารถกดลงต่ำพร้อมกับซุ้มล้อเด่นชัดและกระจังหน้าแบบกดมุมลงคล้ายกับปากฉลามทำให้มีความดุดันและแตกต่างกับคันอื่นๆในตลาดมาก

ในรุ่น Grandsport เราจะเห็นตัวหลังคา Sunroof เสริมเข้ามาให้แล้วและรองรับการใช้งานได้ดีในส่วนของตอนหน้าและทำให้ตัวรถภายในนั้นดูโปร่งโล่งมากกว่าเดิมชัดเจนครับ และตัวที่บังแดดนั้นเป็นเลื่อนแบบมือไม่ได้มีกลไกอะไรครับ แต่ตัวกระจกด้านบนนั้นแน่นอนว่าเปิดได้มาตรฐานทั้งหมด ยกขึ้นด้านท้ายหรือว่าเปิดออกหมดได้ง่ายๆครับ

ไฟหน้าไฟท้ายยามค่ำคืนนั้นจะค่อนข้างสวยเลยทีเดียว ไฟหน้ามีความสว่างและชัดเจนอย่างมากจนไม่ต้องมีไฟตัดหมอกมาเสริมเพิ่มเติม ส่วนเวลาเลี้ยวนั้นก็จะมีไฟช่วยเวลาเลี้ยวใส่เข้ามาเช่นกัน และไฟเลี้ยวอะไรชัดเจนสวยงามยามค่ำคืน ตัวไฟหน้ามี Cut Off ที่สวยงามแสงคม โทนสีแสงขาวกำลังดีใช้งานยามค่ำคืน หรือฝนตกได้ดีมาก ไฟ MATRIX LED นั้นต้องบอกว่าได้ใช้งานเวลาขับไปต่างจังหวัดได้ดีมากๆ รวมถึงระบบทำงานได้ไวพอสมควรเลย ทางด้านไฟท้ายนั้นมีไฟตัดหมอกหลังมาให้พร้อมกับไฟแบบเส้นสวยงามเลยแหละ และได้เส้นสายไฟท้ายแบบใหม่แล้วทำให้มีความทันสมัยมากขึ้น แสงไฟเป็นเส้นคมเนียนตาและ แยกโซนกันชัดเจนครับ ทั้งไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟถอยและแน่นอนว่า ไฟตัดหมอกหลัง รวมถึงไฟเบรกดวงที่ 3 นั้นใส่เข้ามาให้เช้นเดิม แน่นอนว่าด้านหน้าทำได้ดีอยู่แล้วจากรุ่นก่อนหน้า และไฟท้ายแสงเข้มขึ้น มีมิติของงานออกแบบมากขึ้นแต่ขอบ่นไฟส่องป้ายยังคงเป็นหลอดไส้สีส้มธรรมดาไปนิดครับ แต่ส่วนอื่นๆถือว่าดี ส่วนเวลาปลดล็อกนั้นไฟจะติดแต่จะไม่มีไฟส่องตรงที่จับ หรือใต้กระจกใส่เข้ามาให้นะ

INTERIOR

ก่อนจะเข้าไปดูในเรื่องของงานออกแบบภายในนั้นเราจะสามารถสังเกตจุดเด่นอีกจุดของรถยนต์คันนี้ คือตัวกุญแจที่มีความพรีเมี่ยม และมีขนาดน้ำหนักที่ดูหนาแน่น พรีเมี่ยมทั้งเรื่องของการใช้งานวัสดุที่ดูดี ขึ้นรูปงานเนียนสวยงามและดูใส่ใจในการออกแบบอย่างมาก รวมถึงการออกแบบนั้นทาง MASERATI ใส่ใจกุญแจทำให้มันมีน้ำหนักกว่าทั่วไปให้รู้สึกถึงความพรีเมี่ยมมื่อวาง หรือหยิบมาใช้งานครับอีกทั้งรูปทรงอะไรนั้นสวยงามมากจริงๆ สมกับแบรนด์อย่างมากครับจุดนี้ การใช้งานก็รองรับทั้งกดเปิดไฟ/ปลดล็อก/ล็อกรถ/ เปิดฝาท้ายได้ทั้งหมดครับแต่ในการใช้งานจริงนั้นต้องบอกว่าไม่ค่อยจะมีโอกาสเอามาใช้งานเท่าไรเพราะเป็นระบบ Smart Entry ทั้งหมดแล้วเช่นกัน

แน่นอนว่างานออกแบบถ้าเทียบกับรุ่นก่อน แม้จะไม่ได้มีหน้าจอเยอะแยะหรือว่าล้ำยุคมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่เมื่อสัมผัสพบเจอทันทีที่เขาไปนั่งคือความพรีเมี่ยมในการใช้งานวัสดุการตกแต่งรวมถึงการใช้งาน ตำแหน่งที่นั่งที่เตี้ยใกล้เคียงกับรถยนต์สปอร์ตทำให้ความรู้สนุกเวลานั่งขับมีความเตี้ยติดกับถนนพอสมควร ส่งผลให้ความรู้สึกเวลาขับขี่นั้นไม่เหมือนกับรถยนต์ Sedan ทำให้ตรงกับความตั้งใจของทาง MASERATI ที่พยายามทำให้รถยนต์นั้นมีความใกล้เคียงกับ Super Car นั้นเองครับห้องโดยสารนั้นแม้จะดูหลังคาภายนอกเตี้ย แต่เมื่อเข้ามานั่งกลับพบว่าออกแบบได้ดี การที่กดที่นั่งต่ำทำให้มีพื้นที่ใช้งานเยอะมากๆทั้งด้านหน้าและด้านหลังนั่งได้สบายไม่อึดอัด พื้นที่วางขา หรือว่าจะเป็นเหนือศรีษะทำออกมาตอบโจทย์ใช้งานอย่างลงตัว ดีไซน์หลักๆ เป็นการเปลี่ยนหน้าจอหลักที่ใหญ่ UI ทันสมัยขึ้นชัดเจน และการที่มีหลังคากระจกแบบนี้เมื่อใช้งานจริงๆนั้นดูดี กว้างขวางและโปร่งกว่าแบบทึบเยอะมากเลยทีเดียว

งานออกแบบอาจจะไม่ได้หนีจากเดิมแต่มีการยกเครื่องหน้าจอใหม่ทั้งหมด 10.1 นิ้ว ใหญ่ขึ้นล้ำขึ้น และ UI ดีขึ้นครับ ตัวหน้าจอการใช้งานมีการเปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอขนาดใหญ่รองรับสัมผัสแบบเต็มรูปแบบ และเป็นหน้าจอแบบเต็มอัตราส่วนมากกว่าเดิม รองรับการควบคุมทุกอย่างในตัวรถ รวมถึงการเปลี่ยนอุณหภูมิต่างๆด้วยเช่นกัน รองรับการทำงานทั้งระบบนำทางติดรถ หรือจะเป็น Android Auto – Apple Carplay แบบไร้สายได้ทั้งหมดครับ ส่วนแผงด้านล่างนั้นเป็นการควบคุมแบบดั้งเดิม ใช้งานปุ่มปกติสำหรับใครที่ไม่คุ้นชินกับหน้าจอเท่าไรนั้นเอง ทางค่ายก็ยังใส่เข้ามาให้ด้วยเป็นแบบปุ่มทั่วไป แต่งานออกแบบส่วนปุ่มหรือวัสดุนั้นทำได้ธรรมดาไปอย่างมากเมื่อเทียบกับตัวรถ และตัวคันเกียร์นั้นมีความสูงมากๆที่แปลกตากับยุคใหม่ๆที่หลายๆค่ายจะทำให้เล็กและสั้น แต่คันนี้ยังคงมีความสูงยาวพอสมควรแอบดูโบราณไปนิดหน่อยครับแต่ก็เป็นแบบ Joystick นะครับและเข้าเกียร์ P โดยการกดลงไป ส่วนปุ่มควบคุมเครื่องเสียงก็ใส่มาให้อยู่ในด้านหลังคันเกียร์ด้วยเช่นกันครับ รวมถึงเบรกมือไฟฟ้า และ เปลี่ยนโหมด

พวงมาลัยนั้นมาพร้อมทรงกลมเต็มรูปแบบไม่มีการตัดขอบอะไร รวมถึงปุ่มควบคุมทุกอย่างไว้บนพวงมาลัย และที่ชอบคือปุ่มควบคุมเครื่องเสียง หรือว่าจะเป็นเปลี่ยนแปลงอะไรพวกนี้จะอยู่หลังพวงมาลัยเวลาใช้งานสะดวกอย่างมากเลยและที่โดดเด่นเช่นเดิมในเรื่องของ Paddle Shift ที่มีความใหญ่และวัสดุอลูมิเนียมด้านผิวสัมผัสดีมากๆและกดสนุกมากครับ แม้จะไม่ได้เอียงตามการเลี้ยวแต่การออกแบบขนาดใหญ่แบบนี้กลับให้นึกถึงพี่น้องร่วมเครือแบบ ตัวแรง FERRARI เลยทีเดียวทั้งขนาดของการใช้งานและความเนียน ความแน่นเวลากดใช้งานจริงๆครับ บอกเลยว่าประทับใจ และทางด้านนาฬิกา อนาล็อก ยังคงใส่เข้ามาให้พร้อมกับงานออกแบบพรีเมี่ยม คลาสสิกสวยงามโดดเด่นมาก

 

เข้าออกห้องโดยสารแม้จะเป็นรถที่ค่อนข้างเตี้ยแต่ด้วยประตูที่เปิดใช้งานได้กว้างทำให้การเข้าออกนั้นสบายกว่าที่คิดไว้รวมถึงตัวเบาะที่จะถอยต้อนรับเวลาเข้ารถทำให้ขึ้นลงได้สะดวก แม้พวงมาลัยนั้นจะไม่ได้ตัดขอบล่างก็ตามครับตัวเบาะสีแดงตัดกับสีดำทั้งหมดนี้เป็นออฟชั่นเสริม ซึ่งสามารถเลือกใช้งานได้รวมถึงการเลือกหนังที่มีคุณภาพความนุ่มมากกว่าตัวพื้นฐานด้วยครับ ตัวเบาะคู่หน้านั้นมีความโอบกระชับดีอย่างมากต่อการขับขี่ทางไกล และในรุ่น Grand Sport นั้นจะได้เบาะคู่หน้าทรง Bucket Seat กระชับและขับขี่เลี้ยวโค้งตัวไม่ไฟลไปข้างๆครับ รวมถึงการนั่งนานๆก็รองรับทั้งพนักพิง ศีรษะรวมถึงบริเวณหลังได้อย่างดีเบาะปรับไฟฟ้า พร้อมกับระบบหนุนด้านหลังทำได้ดีและมีการใส่โลโก้ตรีศูลเข้ามาตรงที่พิงศีรษะด้วย เป็นเบาะที่นั่งสบายอย่างมากในเรื่องความนุ่มกำลังดี ไม่ไหลแม้จะเข้าโค้งหนักๆก็ตาม บริเวณพื้นที่ส่วนวางขาอะไรทำได้ดีไม่มีการติดขา หรือคอนโซลไม่ได้เบียดขาแม้แต่น้อยครับ ถือว่าจัดการพื้นที่นั้นไม่มีปัญหาและตัวเบาะสวยกว่าในรุ่น Grand Lussoชัดเจนครับและรวมถึงรูปทรงในการนั่งก็กระชับกว่ามากครับ

ด้านหลังนั้นต้องยอมรับกันตามตรงว่าถ้าใครที่เน้นนั่งหลังหรือเป็นรถผู้บริหารอาจจะต้องดูกันดีๆเพราะรุ่นนี้ทำออกมาตอบโจทย์สำหรับคนชอบขับซะมากกว่าครับทำให้พื้นที่นั่งหลังอาจจะไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่ก็นั่งได้ 2-3 คนกำลังดีสบายๆครับ เนื่องจากหลังคาที่เตี้ยและตัวรถต่ำทำให้ อุโมงค์กลางของตัวรถนั้นมีความสูงขึ้นมาเยอะจนคนนั่งกลางอาจจะไม่ถนัดเท่าไรนักนั้นเอง แต่ถ้ามองพื้นที่เหนือศีรษะนั้นพอไหวมีพื้นที่อยู่ 1 กำปั้นครับไม่ได้เยอะมากสำหรับคนสูง 180 ส่วนพื้นที่วางขานั้นกำลังดีมีพื้นที่ 1-2 กำปั้นได้เลย แต่ถ้าเน้นความโอ่โถงนั้นตัวนี้ไม่ตอบโจทย์เท่าไรครับ ตัวเบาะนั้นมีความหนานุ่มดีอย่างมากนั่งสบายโอบกระชับได้ดีเลยทีเดียว พร้อมกับพับเบาะได้ด้วย แต่พนังพิงจะไม่สามารถเลื่อนขึ้นลงได้นะครับเป็นแบบ Fix เลย รุ่นนี้มีให้เลือกที่บังแดดหลังมาให้แต่เสียดายในราคานี้ไม่มีม่านข้างมาให้ครับอาจจะด้วยเป็นกระจกแบบ Frameless ทำให้ไม่มีตัวยึดกับม่านบังแดดด้านข้างสำหรับตอนหลังนั้นเอง พนังพิงศรีษะด้านหลังนั้นจะยังคงใส่โลโก้เข้ามาสวยงามพอสมควรครับ รวมถึงมีตำแหน่งพอดีอย่างมากแต่จะไม่สามารถเลื่อนขึ้นลงได้เลยเนื่องจากพื้นที่ และ การออกแบบนั้นเองครับแต่ถือว่าออกแบบมากำลังดีต่อคนนั่งหลังพอสมควร อีกทั้งในด้านหลังยังคงมีแอร์ตอนหลังมาให้แต่ในรุ่นนี้จะไม่มีการปรับอะไรมาให้สำหรับตอนหลังนะครับรวมถึงไม่มีช่องเสียบอะไรมาให้เลย ถ้าเทียบกับยุคนี้แล้วถ้าส่วนนี้มีที่เสียบ USB มาให้ จะเป็นอะไรที่ทันสมัยและได้ใช้

ทางด้านห้องสัมภาระแน่นอนว่าแม้จะเป็น MHEV HYBRID แต่ก็มีพื้นที่ในการใช้งานกว้างและลึกมากเช่นเดิมแน่นอนว่าแบตอาจจะไม่ได้ใหญ่มาก ส่วนที่ทำให้ห้องสัมภาระยังคงกว้างไม่หนีจากเดิมเท่าไรด้วยเช่นกันครับ  ทำให้ความจุนั้นมากถึง500 ลิตรในการใช้งานจริงเท่ากับรุ่น ดีเซลปกติเลยนั้นเองเป็นจุดที่เป็นข้อดีของระบบ Mild Hybrid ด้วยนั้นเองและได้แบตมาถ่วงจุดศูนย์ถ่วงด้านหลัง แต่ก็ไม่ได้กินพื้นที่มากเท่าที่ควรนั้นเอง ส่วนฝาท้ายรองรับการเตะเปิดไฟฟ้า พร้อมกับเปิดปิดไฟฟ้าเป็นมาตรฐานครับ การเปิดปิดมีความนุ่มและไม่ได้กระแทกแรงแบบค่ายอื่น

ภายในยามค่ำคืนนั้นต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ที่ภายในยามค่ำคืนค่อนข้างมืด และไม่มีไฟ Ambient เลยแม้แต่น้อยครับซึ่งค่อนข้างแปลกตากว่ารุ่นอื่นๆพอสมควรในยุคนี้ที่หลายๆค่ายพยายามใส่ไฟเข้ามาให้เยอะมากๆในการตกแต่งทั้งเปลี่ยนสีอะไรต่างๆแต่รุ่นนี้กลับมีความเรียบง่ายสุดๆ เมื่อยามขับขี่นั้นจะมืดอย่างมากถือว่าเป็นรุ่นที่เน้นเรื่องของการขับขี่จริงจังอย่างมาก แต่ถ้าใครที่ชอบความสวยงามยามค่ำคืน ตกแต่งไฟสวยๆนั้นรุ่นนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์อย่างแน่นอนครับ ส่วนตัวแล้วแอบเสียดายจุดนี้พอสมควรเลยแหละ แต่ถ้าเวลาเปิดไฟใช้งานก็มีทั้งไฟส่องเท้า ไฟในห้องโดยสารอะไรมาให้ครบทั้งหน้าและหลัง เวลาเปิดประตูพวกนี้ แต่ถ้าเวลาขับรถนั้นจะมืดแบบในภาพแรกสุดเลยนั้นเองแต่หน้าจอนั้นมีความใหญ่โต โดดเด่นมากขึ้นทำให้ใช้งานได้จริงและเสริมความสวยงามยามกลางคืนได้เล็กน้อยครับ

แน่นอนว่าตัวนาฬิกานั้นใส่เข้ามาให้พร้อมกับไฟสวยงามไม่ต่างกับเรือนไมล์อันนี้ถือว่าเป็นความใส่ใจเล็กๆน้อยๆและมีโลโก้ตรงประตูเสริมเข้ามายามค่ำคืนเวลาเปิดออกมาก็จะเป็นโลโก้ของทางค่ายเด่นชัด สว่างสวยงามมากขึ้นครับ

หน้าตาเรือนไมล์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเรื่องของหน้าจอกลาง และดีไซน์ครับแต่ทางด้านเรือนไมล์ทั้ง 2 ข้างนั้นยังคงใช้งานการออกแบบแบบเดิมทั้งหมด ยังคงไม่ได้ปรับมาใช้งานหน้าจอล้วน หรือ ดิจิทัลล้วนๆเท่าไรครับแน่นอนว่าแอบน่าเสียดาย แต่ถ้ามองอีกมุมก็ยังคงความคลาสสิกดั้งเดิมที่ดูหรูหรา ดูพรีเมี่ยมไว้ได้ดี แต่เมื่อนับในยุค 2021 แล้วน่าจะปรับมาใช้งานดิจิทัลล้วนได้แล้วนั้นเอง แต่หน้าตานั้นมีการเปลี่ยน UI ให้สวยงามมากขึ้นทันสมัยมากขึ้นแล้ว รวมถึง หน้าจอตรงกลาง 10.1 นิ้วรองรับการใช้งานได้เป็นอย่างดี ที่ใหญ่ขึ้น หน้าตาสวยขึ้นและใช้งานได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงดีไซน์แบบกระจกเต็มๆทำให้ดูทันสมัยกว่ารุ่นก่อนหน้าชัดเจนรวมถึง UI แบบใหม่ทั้งหมด

หน้าตาในการใช้งานจอกลางนั้นเราจะเห็นได้เลยว่าหน้าตาเรียบและทันสมัยมากขึ้นรองรับการใช้งานในการดูข้อมูลตัวรถทั้งหมดรวมถึง ดูสถานะการชาร์จไฟแบต และการขับเคลื่อนต่างๆในการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ รวมถึง สถานะความร้อนของน้ำมันต่างๆในตัวรถ อีกทั้งยังสามารถดู การกินน้ำมัน สถานะตัวรถและอื่นๆได้เยอะมากมายเช่นเดิมพร้อมกับ ดูเรื่องของความเร็วแบบดิจิทัลได้ด้วยเช่นกันครับ ส่วนทางด้านจอหลัก 10.1 นิ้วนั้นเป็นสัมผัสทั้งหมดหน้าตาเปลี่ยนใหม่ ยกเครื่องใหม่ชัดเจนทำให้ทันสมัย ใช้งานได้ดีและรองรับการปรับแอร์อะไรได้ง่ายมากขึ้นรวมถึง Apple Carplay รองรับแบบไร้สายแล้ว และ Android Auto ก็พร้อมใช้งานด้วยเช่นกันรวมถึงการตั้งค่าตัวรถ

CONSUMPTION

การใช้งาน HYBRID แน่นอนว่าส่งผลในเรื่องของการประหยัดน้ำมันเล็กน้อยเพราะว่าตัวนี้เป็นแบบ MILD HYBRID นั้นเองครับเลย อาจจะไม่ได้มีผลมากนักแต่ก็ทำได้ดีไม่ต่างจากเดิม พละกำลังรุ่นนี้แน่นอนว่ายังคงแรงสะใจและการขับขี่สนุกสนานได้ดีเช่นเดิมครับ ในการทดสอบยังคงทดสอบ 3 แบบหลักๆ ในการขับขี่ซึ่งจะขับแบบโหดๆ เหยียบหนัก และเล่นเกียร์ลากรอบทั้งทริป แน่นอนว่าทำเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองไปได้ที่ 9 กิโลต่อลิตร ต่อการขับขี่ทางไกลและเร่งแซงแบบเต็มที่ถือว่าเหมาะสมกับการขับขี่แบบนี้ครับ ส่วนในการขับแบบ NORMAL ทั่วไปแน่นอนว่าไม่ได้เร่งหนัก แต่ก็ขับแบบปกติพื้นฐาน เร่งแซงตามจังหวะ ทำได้ 13 กิโล ต่อ ลิตร  ถือว่าตัวเลขขึ้น ทำได้ดีกว่าที่คิดไว้มากๆครับ และดีกว่ารุ่นก่อนแบบรู้สึกได้ ส่วนในเมืองทั่วไปนั้นทำไปได้ 11 กิโลลิตรโดยประมาณ รถติดตามสภาพเมืองไทย ก็ถือว่าอยู่ใน ระดับที่เหมาะสมกับตัวรถและการขับขี่รวมถึงขนาดและน้ำหนักตัวรถที่เยอะพอสมควรด้วยเช่นกัน เพราะว่าเครื่องยนต์ในระบบ MILD HYBRID นั้นจะทำงานตลอดเวลา จะไม่ได้มีช่วงใช้ไฟฟ้าวิ่งแต่อย่างใดครับ

ENGINE

เครื่องยนต์นั้นจะมาพร้อมกับ เครื่องยนต์ GME T4 MultiAir แบบ 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. อัดอากาศด้วย e-Booster 48V (เทอร์โบไฟฟ้า) ที่รอบต่ำ เทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยวแบบ Mono-scroll ที่รอบกลางและสูง และมอเตอร์ Mild-hybrid ให้กำลังสูงสุด 330 แรงม้า (PS) ที่ 5,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที  ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ ZF 8HP70 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง สามารถขับ  อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.7 วินาที และ ความเร็วสูงสุด 255 กม./ชม. และทางด้านช่วงล่าง และ เบรกถ้าเป็น Grand Sport จะใช้งาน ช่วงล่างแบบ Skyhook ปรับความหนืดได้ ถือว่าเรื่องของพละกำลังการใช้งานไม่ธรรมดาครับ และแม้จะเป็นเครื่องที่เล็กลงแต่การเสริมมอเตอร์ไฟฟ้า เทอรโบเข้ามาต่างๆบอกเลยว่าไม่ต่างกันมากนัก

แน่นอนว่าการที่ใช้งานมาเป็นเครื่องยนต์แบบนี้ เพราะว่าในยุคที่หลายๆค่ายเริ่มหันไปสู่พลังงานที่สะอาดมากขึ้น ดีเซลเริ่มหายไปมากขึ้นทำให้ค่าย MASERATI เองต้องปรับตัวและหันมาใช้ HYBRID มากขึ้นและรุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นแรกของทางค่ายที่ใช้งานระบบแบบนี้ แต่ก็ยังคง สมรรถนะการขับขี่ อัตราเร่งที่โหดไม่แพ้กับรุ่นปกติ และยังมาพร้อมกับความประหยัด การที่ใช้งานติดตั้งแบตเตอรี่บริเวณท้ายรถเพื่อการกระจายน้ำหนักที่มีความสมดุล หน้าหลังได้ดีขึ้น ควบคุมก็ทำได้ดีขึ้นจากเดิมที่น้ำหนักจะเน้นไปด้านหน้า และการลดเครื่องยนต์เล็กลงเป็น 2.0 4 สูบก็ทำให้ตัวนี้มีน้ำหนักโดยรวมเบากว่า Ghibli เครื่องยนต์ดีเซล 80 กิโลกรัม ถือว่าดีทั้ง การกระจายน้ำหนักหน้าหลัง และ พละกำลัง

DRIVING

การขับขี่ในรุ่นก่อนหน้าก็ต้องบอกว่ามีความสนุกและอัตราเร่งอะไรนั้นไม่ธรรมดาอยู่แล้วนั้นเองตอนแรกในช่วงที่ปรับมาใช้งานเครื่องยนต์เล็กลง และ ใช้งาน HYBIRD คิดว่าจะไม่ได้ดุดันหรือว่าแรงเท่าตัว V6 แต่พอมาลองใช้งานจริงๆเต็มๆบอกเลยว่า เทคโนโลยีตัวนี้ไม่ธรรมดาครับ เครื่องยนต์ที่มาพร้อมกับ  MultiAir Turbo 2.0 ลิตร 330 แรงม้า 450Nm +เทอร์โบชาร์จเจอร์ + eBooster  48V ทำให้เรื่องของการขับขี่ไม่ธรรมดารวมถึงการมีแบตข้างหลัง และเครื่องเบาลงทำให้น้ำหนัก หน้า และหลังนั้น สมดุลกันมากขึ้นในการขับขี่ใช้งานจริงๆการควบคุมต่างๆครับ ในเรื่องของการเก็บเสียงแน่นอนว่าคุณภาพสูงอยู่แล้วอีกทั้งในรุ่นนี้ใช้งานกระจก 2 ชั้นทำให้เสียงลมเข้ามาน้อยมากๆในการขับขี่แม้จะเป็นความเร็วสูงก็ตามครับ รวมถึงเสียงจากถนนต่างๆรอยต่อถนนถือว่าเงียบมากๆแม้จะใข้งานล้อ 20 นิ้วแบบนี้ ส่วนเสียงเครื่องยนต์ต่างๆนั้นเข้ามาให้พอสนุกในการขับขี่ และเสียงท่อเข้ามาแบบชัดเมื่อเปิด Sport Mode นั้นเองถือว่า เสียงท่อ เครื่องยนต์และ Backfire เวลาเปลี่ยนเกียร์เบาๆก็ได้ยินให้มาพอขับสนุก แต่ถ้าโหมดปกตินั้นเราจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเท่าไร แต่เครื่องก็ยังคงมีความแน่นเสียงเข้ามาแบบเบาๆใน Normal ครับ

พละกำลังสามารถเร่งแซง 0-100 หรือว่าช่วง 80-120 ได้แบบสบายๆไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย รวมถึงถ้ามองเทียบกันกับน้ำหนักตัวรถและขนาดตัวรถแบบนี้แค่นี้ก็เกินพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันครับ แต่ทางด้านการดุดันในการขับขี่หรือว่า ดึงหลังติดเบาะอาจจะไม่ได้ดุดันมากนักเวลาเร่งแซงต่างๆ มีความหน่วงนิดหน่อยในช่วงกระทืบคันเร่งลงไปอาจจะเน้นความนุ่มนวลในการนั่งเป็นหลักมากกว่าอยู่ครับ ไม่ได้กระชาก มุดสนุกอะไรไปมาก แต่จะไปแบบนิ่งๆเนียนๆนั้นเอง ทางด้านช่วงล่างก็เป็นแบบปรับความแข็งอ่อนได้ Skyhook รองรับการปรับนุ่มๆนั่งสบายได้ รองรับถนนเมืองไทยได้ดีรวมถึงการนั่งข้างหลัง แต่ถ้าเปิด Sport เมื่อไรความแข็งเข้ามาชัดเจน แต่ก็ไม่ได้กระด้างมากนัก เรียกได้ว่ามีความหนึบมากขึ้นซะมากกว่าเลยทำให้ บุคลิกโดยรวมของตัวรถนั้นเป็นผู้ดี สายซิ่ง นิ่งๆไม่ได้กระด้าง และการเข้าโค้งในการทดสอบขึ้นเขาใหญ่เทโค้งหนักๆบอกเลยว่าไม่โยนและเอาอยู่ได้ดีกว่าเดิม รู้สึกควบคุมมั่นใจ อาจจะด้วยน้ำหนัก หน้าหลังนั้นลงตัวมากขึ้นและสมดุลมากขึ้น รวมถึงจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำอยู่แล้วทำให้ขับเทโค้งได้ดี

พวงมาลัยรุ่นนี้ในแง่ของการตอบสนองมีความคม และ แม่นยำแต่ถ้าถามว่ามีความไวมากไหมต้องบอกว่าไม่ได้ไวและคมจัดครับ ยังคงมีระยะเล็กๆน้อยๆทำให้การเปลี่ยนเลนจะไม่ได้เหวี่ยงหรือไปไวมากนัก อาจจะเป็นข้อดีของคนที่ไม่ชอบพวงมาลัยไวๆมาก ถือว่าในการควบคุมนั้นจะเน้นความนิ่งๆแน่นเป็นหลักแบบเดียวกับแนวทางของช่วงล่างจะไม่ได้มุดสนุกหรือว่าไวเกินไปนัก แต่ส่วนตัวถือว่าชอบระยะที่เซ็ตมาถ้าเราเทียบกับตัวขนาดรถที่มีความใหญ่และหนักแน่นทำให้การเซ็ตมาแบบนี้กำลังดีในการใช้งานความเร็วสูงครับ แต่ในเมืองก็ยังมีความคล่องตัวอยู่มากเหมือนกัน ทำให้ภาพรวมทั้งหมดของการขับขี่รุ่นนี้ จะมีความนุ่ม หนึบ และก็ไม่ได้แข็งกระด้างมากเกินไปครับแม้จะเป็น Sport Mode อาจจะต้องบอกว่าเป็นรถที่สามารถขับแบบนุ่มนิ่งๆผู้ดีได้ แต่ก็สามารถปรับขับแบบขาโหดได้อยู่แต่คนนั่งก็ยังได้รับความนิ่งนุ่มแบบเดิมนั้นเอง ถือว่าภาพรวมทำให้เหมาะสำหรับผู้บริหาร คนรักการขับขี่ที่เบื่อการนั่งข้างหลังในรถตู้ หรือ รถขนาดใหญ่แต่อยากลองมาขับเอง ซิ่งเองแต่ก็ยังคงรักความนุ่มนวลอยู่นั้นเองตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์อย่างมาก

MASERATI GHIBLI HYBRID

” คุณภาพจาก อิตาลี พละกำลังเด่น พร้อมรูปทรง งานออกแบบที่ยังคงมีความอมตะเช่นเดิม”

MASERATI ชื่อที่หลายๆคนน่าจะคุ้นและรู้จักกันดีเป็นแบรนด์ที่มีตำนานและมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากๆรวมถึงชื่อเสียงในการทำรถยนต์สปอร์ตตัวแรง ตัวแข่งทั้งหลายเช่นตัว MC12 ต่างๆเป็นแบรนด์ที่มีความพิเศษในเรื่องของงานออกแบบ และขุมพลังมาโดยตลอดและงานออกแบบในแต่ละโมเดลถือว่ามีความสวยและดีไซน์อมตะมากๆคันนึงในแต่ละโมเดล รวมถึง GHIBLI เองก็ตามที่เห็นนั้นออกมาร่วมกว่า 10 ปีแต่รูปทรงดีไซน์มีความทันสมัยเกินหน้าตาและอายุอย่างมากครับต้องยอมในเรื่องนี้จริงๆ อีกทั้งความพิเศษในแต่ละรุ่น ขายโควต้าที่น้อยในแต่ละปีทำให้มันโดดเด่นบนท้องถนนอย่างมาก ไม่ซ้ำกับคนอื่นแถมยังสวยงามและดูพรีเมี่ยมมากขึ้นไปอีก แถมยังจอดในที่จอด SUPERCAR เพื่อความปลอดภัยและสะดวกในอีกมุมมองนึงทำให้ตัวแบรนด์ตัวรถเองในไทยนั้นเรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่หายากและโดดเด่นมากๆคันนึงในบรรดา Sport Sedan ทั้งหลายครับ อีกทั้งการขับขี่ต่างๆยังคงทำได้ยอดเยี่ยมเช่นเดิม แม้จะปรับมาใช้ขุมพลังแบบ HYBRID เองก็ตามแต่เสียงเครื่อง พละกำลัง การขับขี่กลับทำได้ดีรวมถึงการควบคุมแอบดีกว่ารุ่นก่อนๆแบบชัดเจนครับ รวมถึงมีการเปลี่ยนไฟท้ายงานออกแบบภายในให้ทันสมัยมากขึ้น จึงเป็นรุ่นนึงที่น่าสนใจในราคา 5.99 ล้านบาทที่จับต้องได้ง่ายที่สุดในตอนนี้ และได้สัมผัสความเป็น อิตาลี แบบแท้ๆครับ

REVIEW ON YOUTUBE !

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้รีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget