รถยนต์ไฟฟ้าจากค่าย MERCEDES-BENZ นั้นลุยตลาดกันมาอย่างต่อเนื่อง และ ในต่างประเทศเองก็มีทั้งหลากหลายระดับราคา ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเริ่มต้น หรือ รุ่นเทพ แต่ในไทยเองนั้นยังค่อยๆรุกตลาดอย่างต่อเนื่องครับ โดยในไทยเองเริ่มจาก EQS450+ ที่นำเข้ามาระดับเรือธง จากนั้นมีการผลิตในประเทศในรุ่น EQS500 ที่สเปกดีขึ้น แต่อยู่ในระดับราคาที่จับต้องได้มากขึ้น รวมถึงมีการเปิดตัว EQB ไปอีกรุ่นเสริมทัพในระดับเริ่มต้น กับ SUV นั้นเองเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาครับ แม้ว่าจะไม่หลากหลายครบแบบเมืองนอกแต่ก็เป็นการเดินตลาดในไทยที่ไวกว่าที่คิด ในกระแสที่รถยนต์จากจีนเข้ากันมาแบบต่อเนื่อง แม้จะเจาะกลุ่มต่างกันชัดเจน แต่ก็ทำให้เห็นว่าในไทยกับรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตแบบก้าวกระโดดมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ EQB จองหมดโควตาในไม่กี่วัน หรือ EQS ก็มีขับบนถนนกันเยอะ
MERCEDES-BENZ EQS500 ตัวนี้มาพร้อมกับการใช้งานมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous 2 ตัว กำลังสูงสุด 449 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 828 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 108.4 kWh พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water-based Coolant Circulation Heat Pipe) ส่งกำลังลงสู่ล้อทั้ง 4 ด้วยระบบส่งกำลังแบบ Automatic Single-speeed Reduction Gear อัตราเร่ง 0–100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุด Top Speed จำกัดไว้ที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จ อยู่ที่ 702 กิโลเมตร (WLTP) และ มาพร้อมกับการเลี้ยวล้อหลังได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงในแง่ของฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นกว่ารุ่น 450+ คือได้มอเตอร์คู่ ได้หน้าจอคนนั่งหลัง รวมถึงแบตใหญ่ขึ้น และระบบเสียง Dolby Atmos ระบบนวดเบาะหน้า ซึ่งรุ่นก่อนหน้าไม่มี แถมราคาตอนนี้แค่ 7.2 ล้านถูกกว่าเดิมหลายแสนบาทเมื่อประกอบในไทยแบบนี้ รวมถึง ฟีเจอร์ระบบช่วยขับต่างๆใส่มาแบบแน่นๆเหมือนเดิมครับรุ่นนี้ ถ้าจะมองว่ามันเป็นรถยนต์ที่หรูหราและล้ำสมัย รวมถึงแรงที่สุดคันหนึ่งของค่าย MERCEDES-BENZ กันเลยทีเดียวครับตอนนี้
- EQS 500 AMG Premium 7,200,000 บาท
EXTERIOR
ก่อนอื่นต้องบอกว่าตั้งแต่ MERCEDES-BENZ เริ่มทำรถยนต์ไฟฟ้าในชื่อ EQ ทั้งหลายออกมา ผมไม่เคยชอบหน้าตามันเลย มันดูโค้งมนหน้ากลมๆกระจังหน้าแบบตัว V คล้าย HONDA ยุคหนึ่ง รวมถึงการออกแบบที่แปลกๆในบางรุ่น แต่เมื่อมาดูการออกแบบที่ได้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำที่สุดแค่ 0.20cd แบบนี้ ก็พอยอมรับกับหน้าตามันได้ครับ มันกลายเป็นรถยนต์ที่ลงบนถนนขายทั่วไปที่แรงเสียดทานต่ำที่สุดในตอนนี้ครับ และส่งผลต่อระยะทางการขับขี่ ต่างๆมากมายในรถยนต์ไฟฟ้ายิ่งสำคัญในแง่ของการต้านลม ส่วนขนาดของมันค่อนข้างใหญ่โตมาก แต่สามารถออกแบบได้ลู่ลมแบบนี้ถือว่าเก่ง มากับขนาดความยาว 5,216 มิลลิเมตร กว้าง 1,926 มิลลิเมตร สูง 1,512 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ Wheelbase 3,210 มิลลิเมตร และที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 610 – 1,770 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง) ซึ่งดูขนาดตัวรถใกล้เคียงกับ S-Class เลยทีเดียว แต่พื้นที่นั่งข้างในจะแคบกว่าเพราะทรงแบบนี้
เมื่อมองดีไซน์ทั้งคันจะเห็นความพยายามที่ทำให้ลู่ลมมากที่สุด ทรงคล้ายๆเมาส์โค้งๆตั้งแต่ด้านหน้าไปด้านหลัง และด้วยตัวรถที่เป็นสีขาวทำให้เราเห็นว่ามีการแทรกสีดำเข้ามาทั้งกันชนหน้า ขอบด้านข้าง จนถึงท้ายรถนั้นเองแต่จุดหนึ่งที่สวยมากๆ คือเส้นสายด้านข้างไปจนถึงท้ายรถต่อเนื่องสวยและโค้งเนียนตา และล้อลายแบบนี้ดูไม่เป็นขอบหนาๆหรือเป็นแผ่นๆแบบรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปทำให้ดูสวยและเสริมตัวรถได้ดีกว่าเดิมครับ และมือจับประตูแบบซ่อนก็ใส่มาด้วยเมื่อมองดูด้านข้างจะรู้สึกเลยว่ามันเป็นรถที่ฐานล้อยาวมาก แต่หน้ารถสั้น ท้ายรถยนต์สั้นเพราะคันนี้พัฒนามาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนจริงๆ ไม่ต้องมีพื้นที่ให้เครื่องยนต์อีกต่อไปในด้านหน้า แต่เวลาขึ้นหลังเต่าแอบครูดได้ง่ายเพราะรถยนต์ค่อนข้างเตี้ยและยาวในแง่ช่วงกลางรถยนต์ครับต้องระวังพอสมควร
ถ้าจะมองว่ารถยนต์ MERCEDES-BENZ คันไหนเป็นรถยนต์ EV มองง่ายๆคือ เส้นสายไฟหน้าและไฟท้ายต้องเป็นแนวๆยาวเชื่อมกัน พร้อมกับกระจังหน้าแบบตัว V โค้งๆแบบรุ่นนี้คือไฟฟ้าล้วนแน่นอนครับในด้านหน้าถ้ารถสีขาวเราจะเห็นเลยว่ากระจังหน้าดำและมีตราดาวเล็กๆกระจาย เสริมด้วยไฟหน้าแนวยาว และชุดกันชนแบบ AMG ใส่มาให้สวยงามและช่องรีดอากาศของจริงทั้งหมด ถือว่าดูสวย ส่วนด้านท้ายเองนั้นเป็นไฟแนวยาวสวยงามพร้อมกับโลโก้ท้าย และ ชุดกันชนแบบ AMG ซึ่งรุ่นนี้ฝาท้ายจะเปิดทั้งกระจกเลยครับ รวมถึง Diffuser ท้ายใส่เข้ามาด้วย ส่วนทางด้านล้อและช่วงล่างแบบถุงลม ใส่กับล้อขนาด 21 นี้สวยมากแบบ AMG และไม่ต้องมีขอบหนาๆช่วยให้ลู่ลมอะไรครับเพราะว่าเขาออกแบบมาดีแล้วเมื่อขับไวๆขอบชั้นในจะช่วยลดแรงเสียดทานไปในตัวโดยที่ไม่ต้องทำที่ปิดเยอะ
ไฟหน้าระดับสูงสุดของค่าย DIGITAL LIGHT ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่สามารถแบ่งไฟเป็นพิกเซลได้ละเอียดสูงถึง 1.3 ล้าน pixel พร้อม Ultra range high beam ส่องสว่างไกลถึง 600 เมตร แบ่งเป็นช่องๆหลบรถคันข้างหน้าได้แบบไม่แยงตา และทำงานร่วมกับกล้องหน้ารถยนต์เช่นกัน ซึ่งถือว่าสวยคมและสว่าง มีEffectเวลาปลดล็อกรถยนต์สวยงามครับ เมื่อขับกลางคืนไฟตรงกลางก็จะติดเป็นเส้นแนวยาวต่อเนื่อง รวมถึงด้านท้ายรถยนต์เช่นกันเป็นไฟแนวยาวพร้อมกับไฟเกลียวสวยงาม และ มีEffectเช่นกันเวลาปลดล็อกไล่แสงไฟจากขอบไฟสวยงามมาก
ในชุดแต่ง AMG ถือว่าเป็นดีไซน์ที่สวยลงตัวแม้ว่าจะมีเสริมโครเมียมเข้ามาเยอะเหมือนกันแต่เมื่อมองระดับราคา และ แนวทางรถยนต์ที่เป็นรุ่นที่หรูก็ยังพอเข้าใจกับการเสริมโครเมียมเข้ามาเยอะๆทั้งด้านหน้าและด้านข้าง รวมถึงด้านหลังรถยนต์เมื่ออยู่กับสีขาวดำก็พอเข้ากันได้ดี ซึ่งน่าเสียดายว่าในส่วนของหน้ารถนั้นไม่สามารถเปิดฝากระโปรงหน้ามาได้ และ ไม่มี Frunk ให้ใส่ของครับ ซึ่งถ้าตามปกติรถยนต์ไฟฟ้าน่าจะมีมาให้อาจจะเกี่ยวข้องกับการออกแบบอีกที
INTERIOR
งานออกแบบภายในถือว่าเป็นจุดที่หวือหวามากตั้งแต่เปิดตัวเพราะว่าเป็นการพัฒนาเข้าสู่ยุคหน้าจอใหญ่โตสะใจมากกว่าทุกคันที่เคยทำมา เป็นรุ่นที่แสงสีเยอะและหน้าจอ 3 หน้า จอขนาดใหญ่เป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมดในชื่อ HyperScreen นั้นเองครับ เมื่อรวมทั้งหมดหน้าจอ Hyperscreen จะประกอบไปด้วยหน้าจอกลางขนาด 17.7 นิ้ว รวมเข้ากับหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า โดยหน้าจอฝั่งคนนั่งจะไม่สามารถใช้งานได้ถ้าไม่มีคนมานั่ง จะแสดงผลข้อมูลได้อย่างเดียว สัมผัสไม่ได้เป็นแบบ OLED ทั้งหมดถือว่าสุดมากครับ ส่วนการสัมผัสใช้งานไวตอบสนองได้ดี มีความโค้งรับได้กำลังดี การควบคุมทุกอย่างไปอยู่บนหน้าจอทั้งหมด และแสงสีรอบคันสวยงามเช่นกัน ส่วนพื้นที่ภายในอาจจะดูตันๆสูงๆครับ จะเป็นแนวทางการออกแบบแตกต่างกับ S-Class กันแบบชัดเจนมาก
พวงมาลัยทรงคุ้นเคยแบบ AMG ที่ทางค่ายใช้งานตั้งแต่ A200 จนมาถึงรุ่นพี่ครับ แต่ชอบในแง่ของขนาดเวลาจับค่อนข้างเต็มมือ ไม่เล็กเกินไปอีกทั้งวัสดุผิวสัมผัสต่างๆและการออกแบบปุ่ม 2 ก้านโค้งรับนิ้วได้ดีด้วยเช่นกัน ยังคงได้แบบขอบตัด และ Paddle Shift มาแม้จะเป็น EV แต่ก็เอามาใช้งานปรับรีเจนพลังงานได้แบบลงตัวมากๆครับ ส่วนที่เราจะเห็นปุ่มของตัวรถคันนี้จะมีแค่ตรงที่วางแขนเท่านั้นคือปุ่ม Start กับไฟฉุกเฉินที่ตำแหน่งใช้งานจริงแอบยากไปหน่อยเวลารีบๆกด รวมถึงสแกนนิ้ว และปรับเสียง เน้นให้คนข้างๆใช้งานมากกว่าครับ เพราะคนขับเวลาใช้งานต้องถอยแขนมากดเยอะเหมือนกัน แต่ตำแหน่งวางแก้วต่างๆออกแบบมาได้ดีมีชาร์จไร้สาย และควบคุมผ่าน Air Gesture ได้ด้วยในหลายๆฟีเจอร์ครับ ในการออกแบบช่องแอร์แสงสีค่ายนี้คือหวือหวามาก มีไฟวิ่งเวลาขับและปรับแอร์ต่างๆรวมถึง ฟีเจอร์เวลาหยิบของเบาะคนนั่งเวลากลางคืนถ้าไม่มีคนนั่งและเราเอื้อมมือไป ไฟก็จะเปิดให้เองแบบออโต้ และปิดเองเวลาเอาออกครับอันนี้คือล้ำมาก รวมถึงระบบเครื่องเสียง Burmester แบบ 3D จัดเต็มเลย
รวมถึงในเรื่องของแอร์หลังก็ให้มาแบบแน่นทั้งการปรับโซนอิสระซ้ายขวา มีหน้าจอควบคุม และทิศทางลม รวมถึงมีบอกฝุ่นในตัวรถ แม้ว่าจะไม่อลังการเท่า S-Class ก็ตามครับแต่ในตัวนี้ก็ถือว่าดีและในรุ่นนี้ได้หน้าจอหลังเพิ่มเติมทำให้เราสามารถควบคุมสั่งงาน และ ดูสถานะตัวรถยนต์ได้ หรือจะเข้า Youtube,Web ต่างๆใช้งานได้ทันทีแค่มีเครือข่ายมือถือหรือซิมใช้งาน ซึ่งมีหูฟังส่วนตัวให้มาคู่หนึ่งในด้านหลัง เป็นจุดที่แตกต่างกับ EQS450+ ชัดเจนครับ แต่จุดที่คนนั่งหลังอาจจะไม่ถูกใจคือ ตำแหน่งเบาะ ความชันของเบาะที่ไม่สบายเท่า E-Class หรือ S-Class เท่าไร แม้ว่าที่วางขาจะยาวมากก็ตาม แต่ตัวเบาะเน้นการพับได้ และความเอนไม่เยอะเลยไม่สบายเท่ารุ่นอื่นๆครับ
TECHNOLOGY
และเรื่องของเทคโนโลยีบอกเลยว่าคันนี้จัดเต็มอย่างมากไม่ว่าจะเป็นตัว MBUX ตัวใหม่ HYPERSCREEN ขนาดใหญ่พร้อมกับ MBUX ตัวล่าสุดที่รองรับ Air Gesture เช่นกันสั่งงานผ่านท่าทางได้ รวมถึงบรรดาการนำทางแบบ AR ที่แสดงผลร่วมกับกล้องหน้ารถแบบในภาพข้างบนเวลาใช้งานนำทางบนตัวรถเช่นกัน ถือว่าเยอะมากๆ และในแง่ของระบบช่วยเหลือการขับขี่มาครบมากๆไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Pagkage หรือ ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและเตือนเมื่อปล่อยมือ ระบบช่วยการทรงตัวและดึงรถกลับเข้าช่องจราจร ขณะหลบสิ่งกีดขวาง ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ เมื่อตรวจพบรถยนต์ จักรยานยนต์และคนข้ามถนน อีกมากมายทำให้ตัวรถสามารถรักษาให้อยู่ในเลน โค้งให้เองได้ในเส้นถนนที่ชัดเจนครับ และมีเตือนและเบรกเปิดไฟฉุกเฉินให้เองเลยเมื่อเราไม่ยอมจับพวงมาลัยเป็นเวลานานๆ อีกทั้งการจัดการพลังงานเมื่อเทียบกับตัวรถก็ทำได้ดีเช่นกันครับ ถือว่าการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายนี้ มาแบบจัดเต็มทั้งคุณภาพและเทคโนโลยีที่ใส่มา
DRIVING
การขับขี่แน่นอนว่าด้วยความเป็น Mercedes-Benz หลายๆอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันทำได้ดีอย่างมาก อีกทั้งการจัดการพลังงานไฟฟ้าเมื่อเทียบกับขนาดตัวรถกินไฟถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก และการขับขี่มันเนียน นุ่มนวล แม้จะเป็นการใช้งาน Adaptive Cruise Control เองก็ตาม ทั้งการเร่ง การเบรก ทุกอย่างเนียนตา นุ่มนวล และ ไม่กระชากเลยแม้แต่น้อย รวมถึงการเบรกทุกอย่างแลกมากับความพรีเมียมสมกับราคาทำให้มันเป็นจุดแตกต่างกับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปในระดับราคาที่ถูกกว่า และด้วยพละกำลัง 449 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 828 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 km/h ภายใน 4.8 วินาที และ Top Speed ความเร็วสูงสุด 210 กันเลยทีเดียวครับ ในแง่ของช่วงล่างยังคงเน้นความนุ่มนวล แต่ไม่ได้ย้วยแบบที่คิดไว้ เซตมาดีกับคนนั่งและคนขับ ซิ่งได้แบบไม่ย้วยไม่โยน แตกต่างกับฟีลลิ่งของ E-Class หรือ S-Class ชัดเจนแอบชอบมากกว่ารุ่นอื่นๆของค่าย และการควบคุมพวงมาลัยเซตมาเหมาะกับตัวรถ แม้จะใหญ่ก็ตาม แต่การที่เลี้ยวสี่ล้อก็ช่วยให้ในการขับขี่ในเมืองสะดวกมากกว่าเดิมกับขนาดตัวรถที่ใหญ่โต หรือจะเป็นการกลับรถก็ตามครับ ส่วนทางด้านการกินไฟในต่างจังหวัดก็ถือว่าจัดการได้ดีเมื่อเทียบกับ เส้นทางเดียวกัน กับความเร็วเท่ากันเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ และกับขนาดตัวรถใหญ่โตแบบ S-Class
MERCEDES-BENZ EQS 500
” EV ที่หรู แรง ล้ำ ขับเองสนุก หนึบแน่น ภายในล้ำยุค แต่ นั่งหลังพอไหว “
ถ้ามองรถยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่งโดยมีโจทย์ว่าเป็นคันหลักของบ้าน อยากได้แบรนด์ที่ไว้ใจได้ คุณภาพสูง ขับเองเป็นหลัก มีคนนั่งหลังบ่อยระดับนึง เน้นรถใหญ่ ขนของได้ พับเบาะใส่ของได้ และงบไม่จำกัด ตัวนี้สามารถตอบโจทย์ได้มากกว่า BMW I7 หรือ TAYCAN , E-TRON GT แน่นอน เพราะว่ามันอเนกประสงค์มากที่สุดเมื่อเทียบกับคันอื่นในบรรดาคู่แข่ง และพื้นที่ภายในกว้างขวาง เน้นขับเองมากกว่าแต่ถ้าเน้นนั่งอย่างเดียว ไม่เน้นขับ BMW I7 จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า หรือถ้าเน้นขับเองไม่มีคนนั่งหลังเลย TAYCAN , E-TRON GT ตอบโจทย์มากกว่าแน่นอน ทำให้ EQS500 มันกลายเป็นเสริมช่องว่างระหว่าง 3 รุ่นข้างบนได้แบบกำลังดี ขับเองสนุก ไม่อึดอัด นั่งหลังก็ได้ ขับเองยิ่งดี แถมพับเบาะ ขนของได้อีก ให้พ่อแม่นั่งหลังก็ยังสบายอยู่ เป็นรถครอบครัวได้ดี แถมระยะทางมากกว่าคู่แข่งทุกตัว ขับได้ไกลที่สุด และ ยังมาพร้อมกับออฟชั่น ภายในล้ำๆ และศูนย์บริการต่างๆพร้อมรองรับได้แบบเต็มที่ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมแต่ละค่ายมีจุดเด่นของตัวเองและขายได้ในแต่ละกลุ่มลูกค้าครับ แต่การมาของEQS500 ทำให้มันดูคุ้มค่ากว่า 450+ ทันที และคุ้มค่ากับที่จ่ายเงินไปทั้งความแรง ประสิทธิภาพ เทคโนโลยี ถือว่าภาพรวมโอเคมาก