MSI ยังคงเป็นแบรนด์ คอมพิวเตอร์สายเกมมิ่งที่หลายคนน่าจะเคยใช้งานหรือรู้จักกันและออกหลากหลายรุ่นหลายสเปกออกมาจัดเต็มกันอย่างต่อเนื่องครับ รวมถึงทางเรื่องประสิทธิภาพและระบายความร้อนค่ายนี้บอกเลยว่าทำออกมาได้ดีเกินหน้าตาค่ายอื่นๆแน่นอน ทางด้านตระกูล GP 65 นั้น ได้ดีไซน์ดุดัน เท่ๆเป็นเอกลักษณ์ของ G ในค่ายนี้ครับ และยังคงมาพร้อมกับระบบระบายความร้อน Cooler Boost 5 และ คีย์บอร์ดค่าย Steel Series ที่คุ้นเคยกันดีพร้อมกับไฟ RGB Per Key และรุ่นนี้มาพร้อมกับ ลำโพงที่ใหญ่สุดๆ กำลังเสียงดีสะใจ และรองรับการถอดรหัสเสียง Hi-Res ผ่านทางหูฟังได้ด้วย เป็นรุ่นที่สเปกจัดเต็มมากๆ และใช้งาน i7+RTX 2070 พร้อมจอ 144Hz
MSI GP65 Leopard นั้น จะมาพร้อมกับสเปกการใช้งาน CPU i7-10750H 2.60 GHz, 12 MB L3 Cache, up to 5.00 GHz ส่วนการ์ดจอนั้นยังคงใช้งานของ NVIDIA GeForce RTX 2070 มาพร้อมกับ 8GB GDDR6 VRAM และ ทางด้าน Ram ให้มา 16GB DDR4 bus 2666 พร้อมรองรับ Dual Channel ส่วน SSD 512GB PCIe® Gen3 SSD M.2 พร้อมกับหน้าจอในขนาด 15.6″ FullHD IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz มาพร้อมกับลำโพงขนาดใหญ่รุ่นใหม่ รวมถึงรองรับระบบเสียง Hi-Res ผ่านหูฟัง ทางด้านการเชื่อมต่อนั้นให้พอร์ตมาครบมากๆทั้ง USB-C USB-A 3.2 รวมถึง Mini Display Port และ HDMI พร้อมการเชื่อม Wi-Fi 6 AX รุ่นล่าสุด แน่นอนว่าตัวเครื่องมาในน้ำหนัก 2.3 กิโลกรัม และ ทางด้าน ระบบระบายความร้อน Cooler Boost 5 คีย์บอร์ด SteelSeries พร้อมไฟ Per-key RGB เช่นเดิมครับ ถือว่าในเรื่องของสเปกการใช้งานนั้นสบายๆในการทำงาน หรือ ว่าจะเป็นการเล่นเกม ส่วนหน้าจอก็รองรับการใช้งานได้ดีมากๆทั้งคุณภาพ ความลื่นไหล
MSI GP65 Leopard 10SFK-236TH // CPU : INTEL CORE i7-10750H // RAM : 16 GB (8*2) DDR 4 // STORAGE : 512GB PCIe/NVMe SSD // DISPLAY : 15.6 FULL HD 144Hz // NVIDIA GEFORCE RTX 2070 8 GB GDDR6
MSI GP 65 รุ่นที่รีวิว 10SFK-236TH จะเปิด ราคา 51,900 บาท รับประกัน 2 ปี
UNBOX
- ตัวเครื่อง MSI GP65 LEOPARD
- กระเป๋า เป้ MSI
- ที่ชาร์จ ADAPTOR 230W
- คู่มือ การใช้งาน
DESIGN
ในเรื่องของงานออกแบบตระกูล GP นั้นจะเป็นรุ่นที่เน้นความคุ้มค่า ต่อราคาและสเปกเป็นหลักถ้ามองเทียบกันนั้นจะเป็นซีรีย์หรือรุ่นรองกว่าตัว GE / GT ครับ แต่สเปกนั้นบอกเลยว่าไม่แตกต่างกันมาก ตัวเครื่องจะเน้นความเรียบง่าย โทนสีดำ เทาเข้มเป็นหลักพร้อมกับวัสดุพลาสติดกับ อลูมิเนียมทั้งเครื่องฝาหลังเน้นเรียบๆสีดำ หรือกับโลโก้มีไฟสีขาว ส่วนขนาดอาจจะหนานิดหน่อย แต่น้ำหนักนั้นทำได้ประมาณ 2.3 กิโลกรัมถือว่ายังคงพกพาได้ไม่หนักมากเกินไป ส่วนขอบหน้าจอ 15.6 นิ้วบาง พร้อมกล้องหน้ามาให้ไม่ได้ตัดออกไป และ คีย์บอร์ดที่มาพร้อมกับ NUMPAD
งานออกแบบฝาหลังนั้นมาพร้อมกับวัสดุอลูมิเนียมเรียบๆเล่นโทนสีดำด้านพร้อมกับเส้นสาย 2 ข้างนูนขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ในหลายๆตัว แต่ฝาหลังนั้นเรียบๆทั้งหมดเพิ่มความหรูหรามากขึ้นแต่ก็มีความดุดันไปในตัวพร้อมกับโลโก้ MSI ที่มาพร้อมสีขาวเวลาเปิดใช้งานจะติดเป็นแสงไฟ แต่อาจจะเป็นรอยนิ้วมือได้ง่ายพอสมควรครับ ส่วนด้านในนั้นจะเป็นสีเงินพร้อมกับลวดลายเส้นสายนิดหน่อยตรงคีย์บอร์ดส่วนที่วางมือครับ และแป้นพิมพ์พร้อมกับแสงสี RGB Per KEY รวมถึง NUMPAD ยังคงใส่เข้ามาให้เต็มขนาดตัวเครื่องพร้อมปุ่ม Power ด้านบน
ช่องระบายอากาศถือว่ามีความใหญ่สะใจให้มาทั้งหมด 3 ตำแหน่ง เป็นด้านหลัง 2 ตำแหน่ง และด้านขวาอีก 1 ตำแหน่งนั้นเอง สามารถระบายออกมาได้เร็วและแรงเมื่อเปิด Turbo ด้วยเช่นกันด้านหลังมีเขียน LEOPARD ชัดเจนครับ ส่วนข้อพับบานข้อต่อนั้น มีความแข็งแรงกว่าเจนแรกๆ รวมถึงรุ่นนี้รองรับการกางได้อิสระมากๆสูงสุดได้ตามภาพเลยครับ ส่วนความแข็งแรงและส่วนประกอบจุดหมุนอะไรนั้นทำได้ดีและพัฒนาให้มีความแข็งแรงขึ้นจากเดิมด้วย
ส่วนตัวแอดเองนั้นชอบงานออกแบบข้างใน สีเงินกำลังสวย และเส้นสายหรือว่าลวดลายไม่รกครับมีแค่เส้นสายใต้คีย์บอร์ดเท่านั้นเล่นกับแสงเหลี่ยมมุมชัดเจน และปุ่ม Power ด้านบนพร้อมกับปุ่ม เปิดปิดอะไรใช้งานได้ดีจะเห็นว่าการออกแบบนั้นวางชิดขอบมากๆเพื่อให้ตัวเครื่องนั้นเล็กที่สุด ส่วนโลโก้ MSI ขอบล่างหน้าจอมีพื้นที่ประมาณนึงครับ
หน้าจอ 15.6 นิ้วแต่ขอบบางชัดเจนในด้านข้างและด้านบนมาพร้อมกับกล้องหน้า ไม่ได้ตัดออกไปไหนหน้าจอถือว่าทำออกมาได้สวยและลงตัวขอบหนากำลังดี และมีไมค์มาให้ 2 ตัวพร้อมกับ หน้าจอแบบด้านสู้แสงได้ดีใช้งานหลากหลายสภาพแสงได้รวมถึงเป็นหน้าจอ IPS 144Hz รองรับการทำงานสีสันค่อนข้างตรงรวมถึงมุมมองรองรับได้กว้าง
ฝาหลังนั้นจะเห็นว่าค่ายนี้ออกแบบฝาหลังตรงฐานล่างได้หวือหวาจริงๆ มีการเล่นลวดลายเยอะมากรวมถึงการเปิดช่องระบายหรือช่องดูดอากาศได้เยอะมากตัวนึงเมื่อเทียบกับคู่แข่งด้านบนนั้นจะเป็นการใช้งานตระแกรงเต็มๆเลยนั้นเองและมีการยกให้สูงกว่าพื้นเยอะมากเช่นกัน ทำให้เรื่องของการระบายความร้อนตัวนี้ไม่ต้องสงสัยเลยนั้นเองครับ ส่วนช่องด้านล่างนั้นจะเป็นลำโพงคู่ ที่ยิงลงพื้นนั้นเอง และงานประกอบหรือเส้นสายนั้นส่วนตัวชอบและมีความใส่ใจ
การอัปเกรดนั้นในรุ่นนี้จะให้ RAM 16GB 2666Mhz มาให้ เป็นช่องละ 8 ครับรองรับได้สูงสุด 64GB ส่วนทางด้าน SSD M.2 NVMe นั้นให้มา 1 ช่องใส่เข้ามาให้แล้ว 1 ช่องของ WD นะครับ 512GB แต่จะไม่มีแผ่นกราไฟท์หรือ ซิลิโคนอะไรปิดมาให้แอบน่าเสียดาย แต่ส่วนของ RAM นั้นมีมาให้เป็นแผ่น กราไฟท์นะครับและในเรื่องของการอัปเกรดเพิ่มเติมจะได้ SSD M.2 / HDD 2.5″ SATA อัปเกรดได้ 1 ช่องเท่านั้น น่าเสียดายว่า SSD M.2 NVMe ให้มาแค่ 1 จะน้อยกว่ารุ่น GE ครับแต่ก็อย่างว่าตามระดับของเรทราคากันไป ส่วนลำโพงนั้นใหญ่จริงๆในส่วนของของล่างเครื่องครับ จะเห็นว่ากินพื้นที่ไปเยอะพอสมควรและเสียงที่ได้ก็สมราคา ทางด้านระบายความร้อน Heatpipe 7 เส้นพร้อมกับช่องระบาย 3 ช่อง รวมถึงพัดลมใหญ่ 2 ตัวทำให้เรื่องระบายนั้นสบายใจได้ครับจุดนี้
SPEC
- Intel Core i7-10750H
- NVIDIA GeForce RTX 2070 8GB GDDR6
- RAM 16GB DDR4 Bus 2666MHz
- 512GB SSD M.2 NVMe PCIe
- หน้าจอขนาด 15.6″ FHD (1920×1080), 144Hz, IPS-Level
- Per-Key RGB Backlight Keyboard BY Steelseries Silver-Lining Print
- 802.11 ax Wi-Fi 6 + Bluetooth v5.1
- 1 x (4K @ 30Hz) HDMI
1 x Mini-DisplayPort
1 x Type-C USB3.2 Gen2
3 x Type-A USB3.2 Gen1 - 1x Mic-in/Headphone-out Combo Jack
- Exclusive Cooler Boost 5 Technology
- 5X bigger Upgraded Giant Speakers for captivating realism.
- High-Resolution Audio ready
- Battery 6 cell , 51Whr
- 230W adapter
- ขนาด 35.70 x 24.80 x 2.75 cm
- น้ำหนัก 2.30 กิโลกรัม
- ราคา 51,900 บาท รับประกัน 2 ปี
PERFORMANCE
ในรุ่นนี้ใช้งาน CPU i7-10750H 2.60 GHz, 12 MB L3 Cache, up to 5.00 GHz ส่วนการ์ดจอนั้นยังคงใช้งานของ NVIDIA GeForce RTX 2070 มาพร้อมกับ 8GB GDDR6 VRAM และ ทางด้าน Ram ให้มา 16GB DDR4 bus 2666 พร้อมรองรับ Dual Channel ส่วน SSD 512GB PCIe® Gen3 SSD M.2 ให้มาเรียบร้อย 1 ช่อง สามารถอัปเกรด SSD HDD แบบ SATA ได้อีก 1 ลูก และมาพร้อมกับ Windows 10 เรียบร้อยพร้อมใช้งาน ในรุ่นนี้ถือว่าสเปกนั้นทำได้ดีพร้อมใช้งานเลยทีเดียวครับและการ์ดจอก็แรงสะใจเอาเรื่องเลยทีเดียว
PC MARK
คะแนนไปได้ค่อนข้างสูงมากๆแน่นอนว่าตัว i7 Gen10 ก็ถือว่าแรงพอสมควร ไปได้ 4960 คะแนน จริงๆพวกระดับราคานี้การใช้งานทั่วไปทำงานคงไม่ต้องกังวลตอบโจทย์ทำงาน ทั่วไปแทบจะทุกรูปแบบ ไม่ต้องห่วงเลยแหละ ตั้งแต่ Word ไปยังตัดต่อ เรนเดอร์ 3 มิติ งานเขียนงานวาดแปลนบ้านทุกอย่าง และ รองรับได้สบายด้วยความแรงทั้งหมดถือว่าชิลๆและดีกว่าตัว i7 9750H อยู่ด้วยในคะแนนส่วนนี้ ส่วนในการทดสอบนั้นเป็นอุณหภูมิปกติ เช่นเดิมไม่ได้เปิดแอร์ แต่ถ้าเปิดแอร์นั้นจะได้คะแนนประมาณ 5,100 คะแนนครับ ถือว่าคะแนนในเรื่องของการทำงานสบายๆ
3D MARK
ทำคะแนนเรียกได้ว่าสูงในการทดสอบทั้ง 5 แบบนะครับ ตัว TIMESPY EXTREAM ที่เน้นไปเจาะกลุ่มคอมพิวเตอร์ระดับท็อป เกมมิ่ง ทำคะแนนได้ 3497 ถือว่าดี และตัว TIMESPY ปกตินั้นทำได้ 7584 และ PORT ROYAL ในการทดสอบ RAY TRACING นั้นได้ไป 4574 คะแนน ต้องบอกว่าผ่านการทดสอบใช้งานระดับสูงๆของ 3D Mark สบายๆ ส่วนในเรื่องความร้อน แอดมินทดสอบต่อเนื่อง 4 แบบ ทำความร้อนไปได้ 85 CPU GPU 74 นะครับ และในตัว FIRE STRIKE EXTREAM ทำไปได้ 9416 และ FIRE STRIKE ULTRA 4894 คะแนน ถือว่าแรงสมกับ RTX 2070 เลยนั้นเอง และ เปิด พัดลมสูงสุดถือว่าจัดการความร้อนเทียบกับประสิทธิภาพนั้นทำออกมาได้ดีเลย
CINEBENCH R15 – R20 / DISK MARK
R15 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูง R15 นั้นทำได้ 1345 cb/ 136 FPS ประมวลผลหนักๆได้แบบสบายมากๆ ดีกว่าพวกรุ่นก่อนหน้านี้แบบชัดเจน และมองเทียบกับ R20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผลตัวโหดกว่า R15 คะแนนก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน ดีกว่ารุ่นก่อนเยอะมาก และทำได้ดีกว่าตัว i7 9750H ด้วยนะ ในตัว R20 นั้นที่ประมวลผลหนักหน่วงกว่าเดิม ทำคะแนน 2874 เลย ดีกว่าพวกรุ่นปกติเยอะ และ เช่นเดิมทดสอบในสภาพอากาศปกติไม่มีแอร์ครับ ส่วนตัว SSD M.2 นั้นทำการอ่านเขียนไป 3,488 MB/s และ 1,804 MB/s ถือว่าแรงกำลังดี แต่ถ้าเทียบกับสเปกตัว GE66 แน่นอนว่าตัวนั้นทำได้แรงกว่าตามเรทราคาของรุ่นนั้นครับ
MSI DRAGON CENTER
ทางด้านระบบ Dragon Center และ ตัวปรับไฟ Keyboard นั้นให้มาครบจัดเต็มเช่นเดิมครับเป็นโปรแกรมสำหรับ Monitor และ ตรวจดูภาพรวมของคอมพิวเตอร์ทั้งเรื่องของ ประสิทธิภาพ ความร้อน การใช้พลังงานรวมถึงปรับแต่งทั้งหลายครับ อีกทั้งยังสามารถตั้งค่าในแต่ละโปรแกรมได้ทั้งหมด รวมไปถึงการอัปเดต ซอฟต์แวร์ในแต่ละอย่างของทางคอมพิวเตอร์ได้ทั้งหมดไม่ต้องไปยุ่งยากหามาโหลดใช้งานกันเองครับ และ มาพร้อมกับ SteelSeries Engine 3 ทำงานปรับแต่ง อุปกรณ์ Gaming Gear ต่างๆ ของ SteelSeries และในรุ่นนี้ก็ใช้งาน คีย์บอร์ดของ SteelSeries Per-Key RGB ตัวเครื่องก็สามารถปรับแต่งได้ผ่านทางโปรแกรมนี้เลย ปรับสีได้เยอะและหลากหลาย
SCREEN
หน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับขนาด 15.6 นิ้วรองรับการใช้งาน 144Hz พร้อมกับหน้าจอแบบ IPS LCD รองรับการใช้งานสีสันค่อนข้างแม่นยำ พร้อมกับงานออกแบบหน้าจอ ขอบบางเพียง 5.7 มิลลิเมตร และมาพร้อมกับ Full HD ที่ 1920×1080 พิกเซล และรองรับการปรับเปลี่ยนแต่งสีผ่านซอฟต์แวร์ MSI True Color ได้อีก 6 แบบครับจะมีเป็น ANTI-BLUE, sRGB, DESIGNER, OFFICE, MOVIE, GAMER ส่วนหน้าจอนั้นจะเป็นหน้าจอแบบด้านครับรองรับการใช้งานทั้งเรื่องของการเล่นเกม หรือว่าจะเป็นการทำงานข้างนอกก็ลดแสงสะท้อนได้ดีเลยทีเดียว หน้าจอนั้นสีสันค่อนข้างแม่นยำมากๆเรียกได้ว่า ใกล้เคียง sRGB 100% เลยทีเดียว เท่าที่ทดสอบนั้นจะได้ประมาณ 95-95% ถือว่ามีความใกล้เคียงมากๆตัวนึงในบรรดา Gaming รวมถึงความสว่างอะไรนั้นสู้แสงได้ดี สีสันคมชัดอันนี้มุมมองอะไรก็ทำได้ดีเช่นกัน เป็นหน้าจอเมื่อเทียบกับเรทราคานั้นทำได้ลื่นไหล และ มีความสวยสีตรงมากๆตัวนึงครับ
หน้าจอเมื่อมองเอียงๆนั้นถือว่าทำได้ดีและข้อดีของการใช้งานหน้าจอแบบด้านนั้นทำให้การพกพาไปทำงานข้างนอกหรือว่าใช้งานทั่วไปในหลายๆสภาพแสงนั้นไม่มีแสงรบกวน และใช้งานได้จริง รวมถึงหน้าจอมีความสว่างสูงพอสมควรสามารถสู้แสงได้ดี ในการใช้งานจริงสีสันถือว่าตรงกว่าจอ 144Hz รุ่นอื่นๆของค่ายนี้และแน่นนอนว่าสมราคาครับเอามาเล่นเกมหนักๆแน่นอนว่าตัวจอนี้ไม่มีปัญหาเลย หรือจะเป็นการทำงานแต่งภาพ สีสันตรงเลยทีเดียว การใช้งาน 144Hz แน่นอนว่าช่วยในเรื่องเล่นเกมพร้อมกับเวลาหันกล้องอะไรพวกนี้บอกเลยว่าลื่นไหล และภาพไม่ฉีกขาดเลยแม้แต่น้อย รุ่นนี้เป็นข้อดีของการใช้งาน 144Hz และ ทำได้ดีทั้งเล่นเกม ทำงาน หรือว่าจะเป็นสายงาน กราฟิก
KEYBOARD
แป้นพิมพ์ในรุ่นนี้มาพร้อมกับการใช้งานขนาดพื้นฐานของพวกหน้าจอ 15.6 นิ้ว คีย์บอร์ด Full Size พร้อมกับ Number Pad มาให้ครบๆเลย ทำให้ชิดขอบทั้งหมด ใช้งานได้จริงและขนาดกำลังดีครับ แน่นอนว่าใช้งาน จากทาง SteelSeries พร้อมไฟ RGB Pre-Key ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ทุกปุ่มครับ สามารถปรับแต่งได้ค่อนข้างอิสระเลยทีเดียวและการใช้งานคีย์บอร์ดจากทาง SteelSeries นั้นถือว่ายังคงสานต่อจากรุ่นก่อนๆจนมาถึงรุ่นนี้ได้ดี พัฒนามาอย่างลงตัวทั้งระยะการกด และความเด้งรับอะไรนั้นรองรับการใช้งานเวลาเล่นเกมได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวตัวนี้ และที่ชอบคือมีปุ่มใช้งานหลากหลายเมื่อกด FN ก็จะเน้นสีแดงส่วนที่รองรับฟังก์ชันนี้ และ มีปุ่มแยก ในการระบายความร้อนสูงสุดเป็นปุ่มที่ทาง MSI ใส่เข้ามาให้ตลอดข้างๆปุ่ม Power อีกทั้งมีปุ่มทางลัด เพื่อปรับเปลี่ยนโปรไฟล์สีของ Steelseries Engine 3 ว่าจะปรับโซนไหน แสงสีแบบไหนบ้าง จะเห็นว่าแสงสีนั้นอิสระทั้งหมดทุกปุ่มเลย
การจัดวางนั้นระยะถือว่าทำออกมาได้กำลังดีและเว้นระยะห่างของแต่ละปุ่มได้ดี ส่วนตัวนั้นค่อนข้างชอบงานออกแบบปุ่มของค่ายนี้ในเรื่องของตัวอักษรที่เน้น ภาษาอังกฤษไว้เด่นๆทำให้ตัวเครื่องนั้นดูไม่รกมากและภาษาไทยก็มีมาให้แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนตัวอังกฤษนั้นเอง ส่วนระยะห่างแต่ละปุ่มนั้นเมื่อเล่นเกมนั้นรองรับได้ดีเลย ตัวปุ่มทรงเหลี่ยมพื้นฐาน และเว้นระยะไม่ได้ชิดหรือห่างมากเกินไป ทำให้เวลาเล่นเกมกดได้ต่อเนื่องรวมถึงการพิมพ์งานต่างๆเช่นกัน ทำได้ดีไม่ต่างกับรุ่นอื่นๆของตระกูล GE GP เลยแหละ ยังคงโดดเด่นในเรื่องของสีสัน และ น้ำหนักรวมถึงระยะกดการใช้งาน
TOUCHPAD
ทัชแพดนั้นเป็นขนาดปกติไม่ได้ใหญ่อะไร รองรับการใช้งานได้กำลังดี แต่แน่นอนว่าสายเกมส่วนใหญ่จะไม่ได้เน้นในส่วนนี้เท่าไรนักเลยไม่ได้มีขนาดใหญ่ซักเท่าไร รวมถึงปุ่มคลิกซ้ายขวา นั้นเป็นแบบปุ่มแยกชัดเจนเป็นปกติของสาย Gaming แบบนี้ครับ วัสดุสีด้านรองรับการใช้งานได้ลื่นไหลและโทนสีคล้ายกับตัวเครื่อง ทำให้เนียนตาไปพอสมควร ส่วนระยะกดอะไรนั้นทำได้ดีตามมาตรฐาน พื้นผิวนั้น Coating มาได้ลื่นไหลและติดนิ้วรองรับได้ดี รวมถึง Software จัดการได้ไม่มีปัญหาแม้จะใช้งานหลากหลายนิ้วก็ตาม แต่สำหรับบรรดาสาย Gaming จุดนี้อาจจะไม่ได้เน้นมากนัก
SPEAKER
ลำโพงถือว่าเป็นตัวชูโรงของรุ่นนี้ และเท่าที่ทดสอบนั้นบอกเลยว่ามีความดังที่สุดเมื่อเทียบกับเรทราคานี้หลายๆตัวและดังกว่ารุ่นพี่ซะอีกครับ ลำโพงในรุ่นนี้มีการขยายขนาดใหญ่ขึ้นช่องใหญ่ขึ้นลำโพงขับได้ดีมากขึ้น เป็นลำโพง GIANT Speaker ใหญ่กว่าเดิมถึง 5 เท่า พร้อมซอฟต์แวร์ Nahemic 3 อีกด้วย ลำโพงจะยิงลงพื้นด้านล่างเราจะเห็นช่องที่เจาะไว้ทั้งหมด 2 ช่อง และ ข้างละ 2 ช่องครับแต่ลำโพงนั้นจะเป็นแค่ 2 ตัว นะแต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นกำลังขับ 2WX2 เช่นกัน แต่เท่าที่ลองนั้นเสียงมีความกังวานมากๆ และดังสะใจจริงๆอยากให้ไปลองเปิดเพลง เล่นเกมครับบอกเลยว่าเป็นลำโพงที่ดีตัวนึงในแง่ของ มิติเสียง ความดังมากๆ ความกังวาน และแน่น ถือว่าทำได้ประทับใจเลย
CONNECTOR
พอร์ตเชื่อมต่อนั้นยังคงให้มาครบมากๆตัวนึง และเป็นไม่กี่ค่ายที่ยังคงใส่ที่อ่าน SD Card เข้ามาให้อันนี้ขอชื่นชมครับเพราะแอดมินเองทำงานด้านนี้ได้ใช้งานเยอะทีเดียว ส่วนในด้านขวานั้นเราจะเห็น USB-A 3.2 ให้ทั้งห หมด 2 ช่อง และ SD Card Reader รวมถึง DC IN แต่ฝั่งนี้จะไม่มีช่องระบายความร้อนอะไรใส่เข้ามาให้นะครับ แต่ตัวเครื่องจริงๆแอบหนามากพอสมควรในด้านหลังทำให้รุ่นนี้ไม่ได้เน้นเรื่องของความบางเท่าไรนักแต่น้ำหนักก็มาตรฐาน
ส่วนไฟสถานะนั้นจะอยู่ขอบด้านหน้าทั้งหมด 3 จุดนะครับ และในด้านซ้ายนั้นเราจะเห็นตัวล็อก Kensington พร้อมช่องระบายความร้อน รวมถึง RJ45 พร้อมกับ HDMI , Mini Display Port และ USB-A 3.2 พร้อมกับ USB-C 3.2 GEN 2 รวมถึง รูไมค์ และ หูฟังแยกจากกันครับ เป็นพอร์ตที่ครบมากๆตัวนึงในบรรดา Gaming ยุคนี้เลยครับ
WORKING
การเล่นเกมและในการทำงานนั้นแน่นอนว่าตัวนี้ก็ถือว่าพัฒนามาดีขึ้นครับสำหรับ intel แน่นอนว่าการทำงานโปรแกรมเดียวเน้นๆทำได้ดีอยู่แล้วรวมถึงระยะเวลาการเรนเดอร์อะไรถ้าไม่ได้สลับทำงานเยอะมาก ก็ถือว่าไม่ได้ด้อยกว่าตัวอื่นๆเลย ในรุ่นนี้ยังคงใช้งาน 14nm และ ใช้ CPU i7-10750H + NVIDIA® GeForce® RTX 2070 8GB GDDR6 และ RAM 16GB 2666 Mhz ให้มาเพียงพอต่อการใช้งานทำงานหลากหลายโปรแกรม หลายเลเยอร์ได้สบาย และการอ่านเขียนของ SSD ก็ถือว่าไวมากๆในทั้งเรื่องของการอ่านเขียน แต่ทดสอบในการเรนเดอร์การทำงานจริงนั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้างลองดูทดสอบกันในหลายๆโปรแกรมสายทำงานถือว่าสบายครับและการระบายความร้อนของรุ่นนี้ที่มีพื้นที่เยอะ Heatpipe จัดเต็มและตัวเครื่องไม่ได้บางมากทำให้ประสิทธิภาพทำได้เต็มที่
PREMIRE PRO
เรนเดอร์กันหน่อยครับว่า 4K 60 FPS นั้นทำได้ดีแค่ไหนมีเทียบตัว INTEL I7 ด้วยนิดหน่อยครับ ซึ่งในตัวนี้ จะเรนเดอร์ได้ภายใน 20 นาที และเมื่อเทียบกับ Ryzen 7 4800HS ทำไปได้ 26 นาทีครับ แต่ถ้าใช้งาน i7 9750H นั้นจะใช้เวลาประมาณ 37 นาที และถ้าเทียบกับ i7 10875H นั้นถือว่าทำได้เท่ากันเลยทีเดียวครับ และในการเรนเดอร์คลิปต้องบอกว่ามันมีผลแบบชัดเจน ถ้าเราเอาคลิปแต่ละเครื่องมาเทียบกันกับระยะเวลาในการเรนเดอร์ครับโดยทางเราทดสอบในการเรนเดอร์คลิปแบบเดียวกันทั้งหมด ถือว่าจัดการในการทำเวลาค่อนข้างต่างกัน แน่นอนว่าแม้จะเป็นคอมพิวเตอร์สายเกมแต่ระยะเวลาการเรนเดอร์นั้นถือว่าเหลือๆ และ หน้าจอแบบนี้ทำให้การทำงาน ตัดต่อ แต่งภาพใน Lightroom หรือจะเป็นสายงาน Graphic ก็รองรับได้สบาย หรือจะเป็นการขึ้นโมเดล Sketchup -LUMION นั้นบอกเลยว่าไม่มีปัญหาเพราะแอดมินเอง ทำงานด้าน สถาปนิกอยู่แล้วบอกเลยว่าสบายมากครับตัวนี้
GAMING
การเล่นเกมนั้นทางเรา ทำการทดสอบในหลายๆเกมทั้งกราฟิกที่ไม่ได้สวยงามกินสเปก ไปยันกินสเปกโหดๆ ซึ่งทางเราก็ได้เปิดภาพแบบสูงสุด รวมถึง เปิด Monitor FPS /Temp ไว้ตลอดเลยเล่นต่อเนื่องยาวๆครับในแต่ละเกม ซึ่งในรุ่นนี้ปุ่มอะไรพวกนั้นเวลาเล่นเกมรองรับได้ค่อนข้างดี คือตัวแป้นพิมพ์นั้นเล่นได้ง่ายมีที่วางมือและไม่ร้อน เราสามารถวางมือบนตัวคอมพิวเตอร์ได้เลย จัดการความร้อนได้ดีมาตลอดในด้านตรงที่วางมือ เรามาดูกันในหลายๆเกมว่าจะเป็นยังไงกันและตัว i7 10750H +RTX 2070 จะทำได้ดีแค่ไหน และ ครั้งนี้มาพร้อมกับ RAM 16GB อีกทั้งตัว SSD ให้มาพร้อมกับความเร็วในการอ่านเขียนได้เยอะขึ้น โหลดแมพอะไรก็ทำได้ไวมากๆเล่นเกมรองรับกับ 144Hz ได้สบาย แม้จะเปิดภาพสูงสุด และเอาจริงๆสามารถขับได้เกิน 144Hz ได้เลยทีเดียวครับ รวมถึง ในส่วนของความลื่นไหลและการขับภาพออกมานั้นสมกับที่ให้สเปกและหน้าจอออกมารองรับแบบนี้เหลือๆและเกินพอมากๆ
จากหลายๆเกมที่แอดมินได้ลองนั้น FPS ทำได้ดีรองรับกับจอ 144Hz ได้บางเกมรันได้สบายมากๆและถ้าปรับระดับกลางทำให้ทะลุ 144hz ไปเลย ในเรื่องของการขับนั้นสามารถแตะ 70+ 100+ ได้สบาย แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าเราปรับภาพแบบโหดที่สุดทุกเกมเท่าที่จะลองรับได้เลยครับทำให้ อาจจะไม่ได้แตะ 144Hz ทุกเกม และ ความร้อนทางเราทดสอบทุกรุ่น ทุกครั้งนั้น จะ ปรับภาพสูงสุดทุกเกมนะครับ เอาให้สุดหมดทุกอย่างเลย และไม่ได้เปิดแอร์เล่นนะครับ และทำได้ดีมากส่วนเรื่องความร้อนในสภาพอากาศปกติไม่ได้เปิดแอร์ หรือ เปิดพัดลมอะไรนั้นทำได้ที่ GPU 70-80 ย้ำว่าไม่ใช่ห้องแอร์และเล่นต่อเนื่องกันยาวๆ 2ชม + แบบที่เคยทดสอบทุกครั้งครับถ้าเล่นให้ห้องแอร์น่าจะลงต่ำกว่านี้ครับ แต่ไม่แตะ 85 ก็ถือว่าดีมากๆแล้ว ส่วนทางด้าน CPU มีแตะ 90 บ้างครับแต่ไม่เจออาการ FPS ตกหรือดรอปอะไรเลยอันนี้ถือว่าสำคัญ แต่ถ้าอยากได้ลื่นๆนั้นต้องปรับภาพระดับกลางจะขับได้เกิน 144 Fps นะครับอันนี้ต้องลองปรับกันไปอีกทีแต่อันนี้เล่นสภาพอากาศปกติ เปิด TURBO โหมดทำให้ระบายความร้อนทำได้น่าประทับใจ
- Overwatch นั้น ทำไปได้ FPS 154 อุณหภูมินั้น GPU 75 CPU 89 : ULTRA
- APEX ทำไปได้ FPS 136 อุณหภูมินั้น GPU 79 CPU 86 : ULTRA
- PUBG ทำไปได้ FPS 104 อุณหภูมินั้น GPU 80 CPU 87 : ULTRA
- Modern Warfare ทำไปได้ FPS 89 อุณหภูมินั้น GPU 70 CPU 86 : ULTRA
MSI GP65 LEOPARD
” MSI ทำได้ดีในการเล่นเกม ฟีเจอร์การปรับ การระบายความร้อน ลำโพง หน้าจอสีสันตรง “
MSI ตระกูล GP นั้นจะเน้นประสิทธิภาพในหลายๆส่วนที่ยังคงทำออกมาได้ดี และดีไซน์ดุดันพอสมควร แน่นนอว่าอาจจะไม่ได้เน้นบางมากนักแต่ก็ใช้งานทั่วไป มาตรฐานน้ำหนัก สาย Gaming ได้ดีไม่มีปัญหาครับรวมถึงในเรื่องของ สเปกอะไรนั้นต้องบอกว่าจัดเต็มมากๆตัวนึงเลยทีเดียว และที่ชอบมากๆคือเรื่องของหน้าจอ 144Hz นั้นมีความแม่นยำสีที่ค่อนข้างตรงและใช้งานดีจริง ทั้งตัดต่อ แต่งภาพ รวมถึง ลื่นไหลในการเล่นเกมต่างๆของตัวนี้ และ ตอบสนองต่อการเล่นเกมทั้งหน้าจอ ลำโพงที่ดังสะใจมากๆตัวนึงและกังวาน ทำงานร่วมกับคีย์บอร์ด Steel Series ได้เป็นอย่างดี ทั้งระยะกด สีสัน ส่วนเรื่องพอร์ตเรียกได้ว่าครบครันทำให้รุ่นนี้เมื่อเทียบกับราคา สเปกบอกเลยว่าเป็นอีกรุ่นที่น่าเล่นสำหรับแบรนด์ MSI และ การระบายความร้อนทำออกมาได้ดี ส่วนเรื่องขนาดอาจจะหนาไปนิดหน่อยครับ
ข้อดี
- หน้าจอ IPS 144Hz พร้อมกับ ความแม่นยำของสีสันสูงถึง 95% sRGB
- ลำโพงใหญ่ เสียงดังมีมิติ พร้อม กำลังขับที่ทำออกมาได้ดี
- ระบบ Cooler Boost 5 ระบายความร้อนทำได้ดี 7 Heat Pipe
- พอร์ตเชื่อมต่อจัดเต็ม ครบ พร้อมใช้งาน ทั้ง RJ45 / HDMI / SD Card ครบ
- มาพร้อม RTX 2070 ใช้งานได้ประสิทธิภาพสูง ในการทำงาน เล่นเกม
- RAM 16 GB ให้มาพร้อมใช้งาน
- รองรับการอัปเกรด SSD SATA อีก 1 ช่อง
- มาพร้อม Windows 10 และ โปรแกรม Dragon Center ของ MSI
- ใช้งาน คีย์บอร์ด SteelSeries ไฟ Per-Key RGB ปรับแต่งได้อิสระ
- งานออกแบบภายในตัวเครื่อง สีเงินสวย พร้อมพื้วผิวสัมผัสทำได้ดี
ข้อสังเกต
- ตัวเครื่องแอบมีความหนาพอสมควร
- มาพร้อม RAM Bus ที่ 2666MHz
- รองรับ SSD M.2 แค่ 1 ช่อง
สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review By Nineztr