NISSAN KICKS E-POWER นั้นเป็นรถยนต์ B-SUV ที่น่าสนใจคันนึงในตลาดทั้งเรื่องระบบขับเคลื่อน รวมถึง การออกแบบ การใช้งานในเมืองแม้ว่าเจนแรกเองนั้นอาจจะไม่ได้ได้รับความนิยมมากอาจจะด้วยราคา และ สิ่งที่ได้ในเรื่องของพื้นที่ภายใน หรือ งานออกแบบภายใน แต่ NISSAN เองก็ได้แก้มือตั้งใจปรับจุดด้อยในรุ่นก่อนๆให้ลงตัวมากขึ้นกว่าเดิมหลายๆส่วน อีกทั้งทำราคาถูกลง แต่ได้อะไรมากกว่าเดิม และมีรุ่นพิเศษชุดแต่ง AUTECH ที่สวยมากออกมา รวมถึงปรับปรุงเรื่องระบบขับเคลื่อนใหม่ ทั้งมอเตอร์ แบต และ ออกแบบใหม่ในหลายๆส่วนทำให้มันกลายเป็นรถที่น่าใช้งานขึ้นทันที และลงตัวขึ้นมากกับราคาไม่ถึง 1 ล้านบาทแม้จะเป็นรุ่นท็อปที่สุดเองก็ตามครับ
NISSAN KICKS AUTECH มาพร้อมกับ การเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างในตัวระบบขับเคลื่อน มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบขนาด 1.2 ลิตร 79 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร ทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บที่แบตเตอรี่ ที่ปรับใหม่ใหญ่ขึ้นกกว่าเจนแรก Lithium-ion 2.06 kWh 4 Module 96 Cells ไม่มีการใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ซึ่งตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เท่านั้น ใช้งานมอเตอร์รหัส EM47 AC3 Synchronous Motor แรงกว่ารุ่นเดิม และ ออกแบบให้มีขนาดเล็กลง และ เกียร์อัตโนมัติ Single Speed Gear reduction ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 0 เพราะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน อัตราเร่งแบบรถไฟฟ้านั้นเอง ระบบนี้จะเรียกกันว่า Series-Hybrid ที่ไม่มีการใช้เครื่องยนต์ขับเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผ่านการขับเคลื่อนล้อหน้า และ มีการปรับปรุงหลายๆส่วนทั้ง วัสดุภายใน งานออกแบบไฟท้ายใหม่ แต่ในรุ่น AUTECH เราจะได้ สเกิร์ตหน้า ข้างซ้าย – ข้างขวา และหลัง สีเงินเมทัลลิก + สปอยเลอร์หลังดีไซน์ใหม่ + วัสดุตกแต่งไฟตัดหมอกคู่หน้า +กระจกมองข้างสีเงินเมทัลลิก + ภายในโทนสีดำตกแต่งด้วยสีน้ำเงิน +แดชบอร์ด และแผงประตู เดินตะเข็บด้วยด้ายสีน้ำเงิน + พวงมาลัยตกแต่งด้วยสีน้ำเงิน +วัสดุตกแต่งแผงประตู หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ สีน้ำเงิน ที่เพิ่มเข้ามาจากรุ่นปกติ แต่ออฟชันอื่นๆจะเท่ากับตัวรองเหมือนกันทั้งหมดครับ ทำให้ถ้ามองความคุ้มตัว VL ทำได้เหมือนกัน แต่ถ้าอยากตกแต่งสวยงามขึ้น แนะนำมาตัว AUTECH คันที่เราจะรีวิวให้ชมกัน ซึ่งออฟชันเพิ่มจากเจนแรกที่เด่นๆคือ ระบบไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist + Lane Departure Warning+ วัสดุบุซับเสียง Sound Isolation และ ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่งทุกรุ่นย่อย แถมราคาถูกลงกว่าเดิมเยอะพอสมควร
- Nissan Kicks e-POWER AUTECH e-POWER AUTECH : 949,000 บาท
EXTERIOR
ตัวรถมาพร้อมกับขนาด ยาว 4.3 เมตร กว้าง 1.7 เมตร และ สูง 1.6 เมตร รวมถึงความสูงใต้ท้อง 17.5 เซนติเมตร ทำให้ภาพรวมมันเป็นรถที่ขนาดกลางๆเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีใหญ่กว่ามีเล็กกว่า แต่ถ้ามองความคล่องตัวถือว่าทำได้ดีในการขับขี่ในเมือง ดีไซน์งานออกแบบจริงๆไม่ได้เปลี่ยนเยอะชัดเจนมากนักจากรุ่นก่อนหน้า มีความลงตัวของมันอยู่แล้ว มีเส้นสายไฟท้ายที่เปลี่ยนใหม่เท่านั้น และ การตกแต่ง AUTECH ที่เพิ่มเข้ามาซึ่งเป็นดีไซน์ที่ภาพรวมมองว่าลงตัวและหลายๆคนชอบอยู่แล้วนะ แม้จะไม่ได้โลโก้แบบใหม่ก็ตามแต่หลายๆส่วนก็ถือว่าสวยจบได้ และถ้ามองน่าจะเป็น Nissan ที่ลงตัวคันนึงแม้จะเป็นทรงบอดี้ที่ออกมานานและปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ก็ตาม
ในรุ่น AUTECH การตกแต่งอาจจะไม่ได้เน้นความดุดัน เข้มแบบตัว PREMIERE EDITION ทำให้เราจะได้ สีเงินเข้ามาเยอะตัดกับสีน้ำเงินซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการตกแต่งแบบนี้ เมื่อมองดูเส้นสายภาพรวมทั้งคันการที่ได้ AUTECH เข้ามาทำให้รถสวยขึ้น สปอร์ตขึ้นกว่าตัวปกติ และเมื่อได้ล้อลายพิเศษสีดำเข้มทำให้เข้ากันได้อย่างดี แต่ที่ชอบที่สุดคือโทนสีน้ำเงินพิเศษในรุ่นนี้ที่ทำให้ตัวรถดูน่าหลงไหลมากขึ้นเป็นสีที่ชอบที่สุดรองลงมาจากสีขาว หรือ เหลืองก่อนหน้านี้ ด้วยรูปทรงรอบคันเราจะเห็นเลยว่า Kicks เองนั้นดูคล่องตัว และ ด้านท้ายก็ลาดกำลังดีไม่ได้เชิง Coupe ขนาดนั้นก็ตาม ซึ่งการที่เสริมสีเงินก็สามารถเข้ากับ ราวหลังคาสีเงินซึ่งจะตัดกับสีน้ำเงินเข้มรอบตัวรถได้กำลังลงตัว
เมื่อมองหน้าตรง และ ท้ายตรงอาจจะมองหาจุดต่างได้ยากเพราะหลายๆส่วนยังคงใช้จุดเดิมทั้งไฟหน้า กระจังหน้า แต่ในรุ่น AUTECH เราจะได้ชุดแต่งกันชนใหม่ทั้งหมด เด่นๆคือสีเงินรอบคัน และชุดตกแต่งรอบไฟตัดหมอกที่มีสีเงินเข้ามา แต่จะไม่มีไฟสีฟ้าๆแบบตัวเมืองนอก แต่เซนเซอร์รอบคัน กล้องรอบคันมาให้ครบเช่นกัน ส่วนในด้านท้ายไฟท้ายแบบเดิมทั้งหมด แต่ตกแต่งเส้นแนวยาวเพิ่มเข้ามา และในตัวสปอยเลอร์หลังแบบเดียวกับตัว PREMIRE EDITION ก่อนหน้า แต่กันชนยกชุดตกแต่งใหม่ทั้งเส้นสาย สีเงิน และ ไฟทับทิมล่างสุด รวมถึงการซ่อนท่อไอเสียข้างในเล็กน้อยนั้นเอง
กันชนหน้าเราจะเห็นว่าเสริมตัว AUTECH เข้ามา แต่โลโก้ยังคงเป็นแบบเก่า ส่วนกระจกมองข้างออกแบบทรงเดิมแต่เสริมด้วยสีเงินด้านเท่โดดเด่นขึ้นพร้อม กล้องรอบคัน และ Blind Spot ให้มาครบแน่นๆพร้อมใช้งาน รวมถึงได้ล้อลวดลาย 17 นิ้ว พิเศษในตัว AUTECH จุดนี้ทำให้ตัวรถโดดเด่นขึ้นกว่ารุ่นปกติ และ ลายสวยจริงๆ ส่วนในด้านท้ายก็ชุดกันชนใหม่ และ เห็นเซนเซอร์ชัดเจน
ไฟหน้านั้นต้องบอกว่าทรงอะไรก็สวยงามขึ้นเป็นจุดหลักๆที่เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน ไฟหน้าเป็น LED ทั้งหมดทั้งไฟหลักรองรับไฟสูงต่ำออโต้ที่เสริมเข้ามาใหม่และยังคงใช้โทนสีขาว ไฟ DRL มุมในสุดสีขาวสี่เหลี่ยม รวมถึงไฟเลี้ยวขอบล่าง และ ไฟสูงของตัวรถครับถือว่ามีความสวยและแน่นอนว่าเรื่องของความสว่างนั้นใช้งานได้ดี ส่วนไฟตัดหมอกก็เป็น LED ทั้งหมดในส่วนขอบชุดไฟตัดหมอกด้านล่าง ถือว่าไฟหน้านั้นให้มาแบบเดียวกันทั้งหมดไม่ว่าจะรุ่นล่างหรือรุ่นท็อปสุดสำหรับคันนี้ครับ ทางด้านไฟท้ายเองนั้นจะเห็นว่ามีทรงที่สวยงาม และเล่นเส้นสายของตัวรถได้ดี ตัวไฟเป็นเส้นสายแบบ Boomerrang สวยงามเป็นไฟเส้น และทางด้านไฟเบรกนั้นจะเป็นส่วนชุดข้างล่างแนวนอน และไฟเบรก ไฟถอยทั้งหมดอยู่ข้างล่าง LED ด้วยเช่นกัน และในรุ่นใหม่นี้จะมีเส้น Lightbar แต่ไม่มีไฟเสริมเข้ามาเชื่อมเส้นไฟท้ายซ้ายและขวาเพิ่มเติมนั้นเอง แต่ไม่มีเส้นไฟสวยๆในเวลากลางคืน เป็นแค่แถบตกแต่งเท่านั้น น่าจะใส่เข้ามาให้ซักหน่อยก็ดี
INTERIOR
แน่นอนว่าในรุ่นก่อนหน้ามีเสียงบ่นในเรื่องวัสดุงานออกแบบไม่สมกับราคา ทำให้ครั้งนี้ปรับเปลี่ยนวัสดุใหม่ทั้งหมด เย็บหนังอะไรสวยงามเดินด้ายขึ้นเยอะ แม้ว่างานออกแบบภายในนั้นต้องบอกว่าดีไซน์เหมือนจะยกของทาง Almera เข้ามาเยอะพอสมควรทั้งการวางตำแหน่งต่างๆ หน้าจอ สีสันภายในหรือจะเป็นวัสดุก็ตามจะบอกว่าดีไซน์นั้นไม่ได้แย่อะไรเลยแหละในการใช้งาน ปุ่มต่างๆ และยิ่งได้โทนสีใหม่เข้ามาให้หรูหรามากขึ้นรวมถึงมี Ambient Light เข้ามารอบๆคันสวยงามปรับเปลี่ยนสีได้ด้วย ส่วนการนั่งอะไรนั้นมุมมองทำได้ดีรอบคันมีความโปร่งโล่ง เก็นถนนชัดเจน สาวๆก็ขับได้ง่ายและไม่อึดอัด สามารถมองรอบคันได้สบายๆกะระยะอะไรไม่ได้ยากด้วยครับ สำหรับเรื่องมุมมองการขับขี่ครับ และ มีการปรับคอนโซลกลางส่วนล่างใหม่ทั้งหมดดูสวยหรูขึ้น และ ใช้งานได้ดีขึ้นเยอะ
แน่นอนว่าตัวนี้งานออกแบบยังคงเหมือนเดิมทั้งรูปทรง และ การใช้งาน แต่ในรุ่น AUTECH เราจะได้พวงมาลัยที่เสริมสีน้ำเงินเข้ามา ในส่วนขอบล่างที่จะเห็นเลยว่าแตกต่างกับรุ่นปกติ และวัสดุพวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง ปรับได้ 4 ทิศทาง ส่วนคอนโซลเกียร์นั้นเปลี่ยนงานออกแบบใหม่ยกชุด สีดำเงา Piano Black เปลี่ยน คันเกียร์ไฟฟ้า Electronic e-Shifter ดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟ LED ล้อมรอบโทนสีขาวทั้งหมด แบบเดียวกับ NISSAN ARIYA เป๊ะๆ และ งานออกแบบใหม่สูงขึ้น เสริมด้วยสีน้ำเงินเดินด้ายสวย รวมถึงที่วางแก้วก็เปลี่ยนงานออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งแก้ปัญหาจุดด้อยในรุ่นเดิมๆทั้งหมดได้ทันที และมีสัญลักษณ์ AUTECH เสริมเข้ามาในรุ่นนี้ และ ปุ่มสตาร์ตอะไรต่างๆตำแหน่งใหม่ทั้งหมด แต่ไม่มี Wireless Charge แต่ด้วยราคา และ ฟีเจอร์ที่อาจจะใช้งานจริงไม่ค่อยได้ก็ไม่ได้มีผลกับใครหลายๆคนมากนัก และไม่เจออาการเบียดหัวเข่าในการขับจริงแม้จะตัวสูง
หน้าจอกลางคันนี้ยังคงใช้งาน ระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Bluetooth และ Nissan CONNECT รวมถึงในรุ่นนี้รองรับ Apple CarPlay / Android Auto และ ลำโพง 6 ตำแหน่ง ถือว่าในการใช้งานไม่มีปัญหาแน่นอนทั้งการสัมผัส ฟีเจอร์การรองรับ และ ภาษาไทย รวมถึงการแสดงผลสู้แสงได้ดี กล้องรอบคันต่างๆมองเห็นชัดแม้เวลากลางวันก็ตามครับ ส่วนการควบคุมแอร์เป็นแบบโซนเดียว ปุ่มควบคุมที่คุ้นเคยกัน และหน้าจอแสดงผลสถานะตัวเลข ส่วนการใช้งานเชื่อมกับมือถือทั้ง Apple , Android รองรับแบบเสียบสาย USB-A แบบในภาพเท่านั้นไม่ไร้สาย
ไฟ AMBIENT LIGHT ปรับใหม่เสริมเข้ามารอบคัน ไม่ว่าจะเป็นตามขอบประตูทั้ง 4 บาน และ ที่วางเท้าทั้ง 4 ตำแหน่ง สว่าง และ ปรับเปลี่ยนสีได้เยอะมากแค่กดปุ่ม ปรับได้ 7 โทนสีชัดเจนถือว่าทำให้รถมีลูกเล่นอะไรเยอะขึ้น และ ดูหรูหราขึ้นส่วนในการใช้งานจริงเวลาขับจะมีการลดแสงลงในหลายๆส่วนเช่นกันครับไม่แยงตา ไม่รบกวนเวลาขับรถแน่นอน เป็นจุดที่หลายๆคนขึ้นรถมาก็ถูกใจ และ ในรุ่น AUTECH เราจะเห็นว่ามีการเสริมด้านสีน้ำเงินเข้ามาเยอะมากๆ และ ที่วางแขนก็เปลี่ยนวัสดุหนังสีน้ำเงินเข้ามา และจะเห็นการบุแผงประตูใหม่หน้าขึ้น หนังนุ่มๆเข้ามาเยอะกว่าเดิมชัดเจนรวมถึงเบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง สีทูโทน สีดำ – สีน้ำเงิน และ ทางด้านเบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง และ เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง ส่วนในด้านหลังจะสามารถเบาะนั่งด้านหลัง แยกพับอิสระ 60 : 40 เหมือนเดิม แต่พื้นที่นั่งข้างหลังอาจจะน้อยกว่าคู่แข่ง และ เล็กไปสำหรับใครหลายๆคนเช่นกัน ถือว่าอาจจะเป็นข้อเสียหลักๆที่ชัดที่สุดในรุ่นนี้ในเรื่องพื้นที่เบาะหลัง
ทาง Kicks นั้นให้ที่ชาร์จ USB-A ใส่เข้าในด้านหลัง 2 ตำแหน่งรองรับการใช้งานได้เลยครับสำหรับชาร์จมือถือต่างๆ แต่ถ้ามองในยุคนี้ถ้าเป็น USB-C น่าจะตามกระแสได้ ส่วนแอร์หลังไม่มีมาให้ อาจจะด้วยขนาดรถที่เล็กและแอร์ค่อนข้างเย็นอยู่แล้ว ส่วนที่วางแก้วมีการปรับใหม่ทั้งตำแหน่งการออกแบบ และ การรองรับแก้วที่ใหญ่และสูงขึ้น รวมถึงสามารถปรับที่วางให้ลึก และ ตื้น ได้อิสระ
มุมมองของตัวรถในภาพรวมทั้งมุมมองจากคนที่นั่งแถว 2 หรือ มุมมองสายตาเวลานั่งจุดนี้ถือว่าทำได้ดีเพราะว่าด้วยตัวกระจกที่มีความกว้างมากๆและมีความใหญ่ ทำให้คนนั่งข้างหลังนั้นไม่อึดอัดเท่าคันอื่นๆที่เจอในเซกเมนต์นี้ครับ รวมถึงความโปร่งในการนั่งข้างหน้าก็ทำได้ดีเหมือนกันเลยแหละ แม้จะไม่ได้เบาะสีส้มแบบรุ่นก่อนหน้า แต่การเสริมสีน้ำเงินเข้ามาก็ทำให้รถดูหรูหราภูมิฐานขึ้นเยอะ
DRIVING
แน่นอนว่าระบบการขับเคลื่อนแบบเดิม แต่แรงขึ้น รวมถึงปรับการใช้งานเล็กน้อยทั้งเพิ่มโหมดบังคับให้ชาร์จได้โดยการกด EV ค้างไว้ 3 วินาที และเปลี่ยน โหมด Smart เป็น Sport ทำให้ขับระบบแตกต่างกับเดิมเครื่องปั่นไฟเข้าบ่อยขึ้นทำงานเยอะขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือไม่มี One Pedal อีกต่อไปครับ ซึ่งน่าเสียดายมากๆ ทำให้เราไม่สามารถใช้คันเร่งในการ เร่ง หรือ เบรกได้แล้วเพราะเปลี่ยนเป็น e-pedal step รถจะไม่หน่วงแบบเดิม และ จะไม่หยุดนิ่งสนิทได้แล้วนั้นเองครับ ซึ่งส่วนตัวชอบแบบเดิมมากกว่า และ ทำงานแบบรถไฟฟ้าล้วนได้ดีกว่า ส่วนการขับขี่การที่เปลี่ยนให้แรงขึ้น ก็ขับสนุกขึ้นแบบรู้สึกได้ เพราะตัวรถทำงานแบบรถไฟฟ้าล้วนอยู่แล้ว ทำให้เร่งแซง ทันใจขึ้นมากกว่าเดิมในบอดี้แบบเดิม ขับสนุก มุดง่าย และ แรงกว่าทุกคันในบรรดาคู่แข่ง รวมถึงประหยัดในเมืองสามารถทำได้ 19-21 กิโลลิตรได้ รวมถึงต่างจังหวัด 16-17 กิโลลิตรได้ ซึ่งระบบแบบนี้ในเมืองจะประหยัดกว่านอกเมือง / ทางด้านไฟฟ้าล้วนสามารถขับได้ไกลขึ้นเล็กน้อย รวมถึงช่วงล่างแม้จะเป็นคานแข็งก็ตามแต่เซตมาได้ลงตัว แน่น หนึบ ไม่กระด้างเกินไป และไม่ย้วยแบบที่คิดซึ่งลงตัวในความเร็วสูงก็ยังสามารถมั่นใจได้มากกว่าคู่แข่งหลายๆตัวที่เป็นแบบคานแข็งด้วยกัน ทำงานร่วมกันกับพวงมาลัยที่น้ำหนักที่ดีมาก ซึ่งเป็นรถ B-SUV ที่ค่อนข้างประทับใจในเรื่องการขับขี่ที่สุดคันนึง ส่วนการทำงานระบบ e-Power นั้นทำให้อัตราเร่งดีมาก 0-100 แค่ 9.5 วินาที และ 80-120 ภายใน 6.5 วินาที นั่ง 2 คน แอร์ 20 มีของสัมภาระปกติ
TECHNOLOGY
แน่นอนว่าเทคโนโลยี KICKS ถือว่าจัดเต็มมากๆทั้งระบบ ACTIVE SAFETY และ การใช้งานภายในทั้งหลาย รวมถึงบรรดา ระบบกล้องรอบคัน 360 องศา Around View Monitor ตรวจจับวัตถุที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน และ สัญญาณกะระยะช่วยจอดด้านหลัง อีกทั้งที่ผมชอบมากๆคือกระจกมองหลังจริงๆนั้นในเวลากลางคืนทำได้ดีอย่างมากครับ ในเรื่องของการจัดการแสงสีบนท้องถนน มองเห็นชัดเจนทั้งเรื่องของไฟหน้า ป้ายทะเบียนและท้องถนน ถือว่าเป็น Software ที่จัดการไฟหน้าได้ดีมากๆไม่มีแยงตาและไม่สว่างจ้าหรือมืดเกินไปเลยอันนี้ขอชมว่าระบบตั้งค่าอะไรมาได้ดีแม้จะเจอไฟสูงๆสาดใส่มาก็ตามครับ ทางด้านระบบช่วยเหลือในเชิง ACTIVE SAFETY มาครบ แต่จุดที่น่าเสียดายมากๆคือ ไม่มีระบบช่วยประคองรถในอยู่ในเลน หรือ บังคับพวงมาลัยเข้าให้เราเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งในระบบ Adaptive Cruise เมื่อจอดไปซักพัก จะยกเลิกการทำงานไปให้เองอันนี้ทำให้เวลารถติดอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนักครับ เป็น 2 จุดที่ต้องบอกเลยว่าขัดใจเล็กน้อย
- ระบบไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning
- ระบบเบรกอัตโนมัติ Emergency Braking
- ระบบเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Attention Assist
- ระบบตรวจจับวัตถุรอบคัน Moving Object Detection
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Intelligent Cruise Control
- ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Warning
- ระบบเตือนรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning
- เทคโนโลยีช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ Ride Control
- เทคโนโลยีช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง Trace Control
หน้าปัดนั้นรองรับแบบดิจิทัลครึ่งนึง ยกหน้าตามาจาก Almera เลยนั้นเองจะแสดงผลภาษาไทยได้รวมถึงบอกสถานะของตัวไฟ มอเตอร์การขับขี่ได้ทั้งหมดเลย และยังคงมีเข็มความเร็วมาให้สุที่ 180 แต่วิ่งจริงได้ 160 นะครับคันนี้ ส่วนระบบช่วยเหลือให้มาครบครับทั้ง เตือนมุมบอดต่างๆ เตือนการชนข้างหน้า พร้อมเบรกให้ด้วย รวมถึง การขับขี่ตามคันข้างหน้าสามารถแทรคความเร็วตามคันข้างหน้า จนรถหยุดนิ่งได้ และเดินหน้าให้เองถ้าจอดไม่นานครับจุดนี้ถือว่าจัดเต็มอย่างมาก รวมถึงในรุ่นใหม่มีการเปลี่ยนดีไซน์ท้ายรถ และ เสริมการแสดงผลเวลาไฟเบรกติดมาให้เพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้าเช่นกัน
NISSAN KICKS E-POWER AUTECH
” ลงตัวทั้งราคา ออฟชัน และ ระบบการขับเคลื่อน น่าสนใจที่สุดคันนึง”
ถ้าถามกันว่ารถยนต์ในตลาด B-SUV รุ่นไหนที่น่าเล่นที่สุดในตอนนี้ ต้องบอกตรงๆว่ากล้าแนะนำ NISSAN KICKS เป็นตัวเลือกแรกๆ ถ้ารับได้กับพื้นที่ข้างหลังของมัน เพราะว่ามันกลายเป็นรถที่คุ้มค่ากับราคาที่สุดคันนึง และยิ่งได้ระบบ e-Power ที่ใช้งานขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน ได้พละกำลังแรง และ ประหยัด อีกทั้งเมื่อใครหลายๆคนได้ลองขับก็ประทับใจกันทั้งนั้น อีกทั้งในแง่ของออฟชันการใช้งานภาพรวมเมื่อเทียบกับราคาตัวรถก็ทำได้ดีขึ้นกว่าเจนแรกหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นการปรับออฟชันภายใน ดีไซน์ภายใน และ วัสดุทำให้มันเป็นรถที่ดีมากๆคันนึงและน่าใช้งานที่สุด ยิ่งใช้งานในเมืองบ่อยระบบนี้จะได้เปรียบมากกว่าชัดเจนครับ ซึ่งข้อเสียมันก็มีอยู่เช่นพื้นที่ข้างหลัง หรือ อัตราสิ้นเปลือง ต่างจังหวัดอาจจะไม่ได้เด่นเท่าในเมือง แต่ถ้ารับได้กับเรื่องพวกนี้บอกเลยว่าเป็นรถที่ดี รวมถึงเป็น Hybrid ที่ไม่ต้องดูแลเยอะแบบคู่แข่ง เกียร์อะไรน้อยกว่า ไม่ต้องมีตัวเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนแบบระบบทั่วไป ทำให้การบำรุงรักษาอะไรนั้นน้อยกว่าชัดเจนเมื่อเทียบกับ Hybrid ระบบทั่วไปซึ่งเป็นจุดที่ทำได้ดีจุดนึง และ ได้อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่าด้วยเข่นกัน ซึ่งเป็นการออกระบบมารองรับการเปลี่ยนช่วงจากน้ำมันเป็นไฟฟ้าล้วนได้ดีมาก
สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget