รถยนต์ไฟฟ้า นั้นถือว่าเป็นกระแสที่มาแรงกันอย่างมากในปีนี้และมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างเยอะ ทั้งในตัวแบรนด์เองก็มีหลากหลายแบรนด์ที่เปิดตัวกันมา และ ทางผู้ใช้เองก็เริ่มมีความสนใจ ศึกษาข้อมูลกันเยอะมากขึ้นเรื่อยๆครับ แน่นอนว่าถ้าหากเรามองย้อนไปในก่อนหน้านี้จะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แบบ ห่างไกลมากกับตัวเรา หรือแม้จะมองประเทศไทยเองก็ไม่มีใครคิดกันว่ามันจะมาในไทย หรือมีค่ายไหนกล้าลุยตลาดในจุดนี้ เพราะก่อนหน้านี้ต้องบอกเลยว่า ความคิดของคนเรานั้นอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจกับรถยนต์แบบนี้กันเท่าไร และในตอนนี้เองก็อาจจะมีหลายคนเช่นกันที่ยังไม่ค่อยเข้าใจแน่นอนว่า มีคำถามเยอะแยะมากตอนที่เราได้ไปลองและมีคนมาสอบถามหรือแม้แต่คนใกล้ตัวเองก็เยอะจริงๆครับ แต่ในตอนนี้หลายๆคนมีการเปิดรับและสนใจกว่าเมื่อก่อนเยอะมากกกครับ เป็นกระแสที่ดีและสร้างแรงกดดันไปกัน รัฐบาลและเอกชน ที่กระตุ้นให้มีการพัฒนาแบบจริงจังมากขึ้นด้วยในระยะหลังๆครับ ในครั้งนี้เราได้มองใช้งานกันแบบจริงๆจังๆกับ Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นที่ 2 ซึ่งเอาเข้ามาขายในไทยแบบเป็นทางการ และมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รุ่นแรกๆของโลกเลยก็ว่าได้ครับ และมีการพัฒนาอย่างจริงจังกันมายาวนานมากจริงๆในรุ่นนี้
+++ รีวีวนี้เราเขียนกันไปเมื่อปี 2563 มีหลายๆสิ่งเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงที่ชาร์จที่มากกว่าเดิมทำให้เราสามารถขับได้สบายมากกว่าเดิม และทาง PTT เองก็มีสถานีชาร์จที่มีหัว Chademo แล้วด้วยเช่นกันทำให้การเดินทางสะดวกกว่าตอนที่เขียนรีวิวแน่นอนครับ และ มีการปรับราคาเหลือ 1.299 ล้านบาทจาก 1.99 ล้านบาทด้วยเช่นกัน ! +++
Nissan Leaf นั้นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนๆ เข้าใจกันง่ายๆคือ ไม่มีเครื่องยนต์ ไม่มีเกียร์ 1 2 3 หรือ สายพานอะไรทั้งหลายเลย ไม่ต้องใช้น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์อะไรทั้งนั้น ใช้แค่ มอเตอร์ปั่นพลังงาน เข้าใจกันแบบง่ายๆเลยครับ ทำให้มันไม่มีอะไรซับซ้อนในการทำงาน ไม่ต้องดูแลรักษาอะไรเยอะเลย ถังน้ำมันก็ไม่มี ทั้งหมดจะเป็นก้อนแบต ที่ฝังอยู่ใต้ท้องรถ แบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าหลายๆคันครับ และจุดนี้มันเป็นข้อดีของมันทำให้จุดศูนย์ถ่วงนั้นต่ำมากๆและทรงตัวดีมากๆ ทางด้าน Nissan Leaf นั้นจะเป็นรถระดับ C-Segment กลางๆ แต่กำลังมันสู้พวก D-Segment ได้สบายๆแบบพวก Teana ครับ
รุ่นนี้จะใช้ มอเตอร์ ไฟฟ้า AC Synchronous electric motor กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,283 – 9,795 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,283 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Speed ปล่อย CO2 0 g./km. หรือไม่ปล่อยของเสียเลยครับ (Zero Emission) แบตเตอรี่ Advanced Lithium-ion (Li-ion) ขนาด 40 kWh เติมพลังงานไฟฟ้าด้วยการเสียบปลั๊กชาร์จไฟ ระยะทางวิ่งต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ได้สูงสุดถึง 311 กิโลเมตร // ชาร์จปกติ 3.6 kW onboard Charger ใช้เวลา 12 ชั่วโมง // ชาร์จ Double Speed 6.6 kW onboard Charger ใช้เวลา 6 ชั่วโมง เป็นสเปคคร่าวๆของรุ่นนี้ครับ และ การชาร์จที่ใช้งานก็จะประมาณนี้เลยนั้นเอง
- LEAF Full EV100% 1, 299,000 บาท สีขาว Brilliant White Pearl หลังคาสีดำ Super Black 2-Tone ภายในสีดำ ปรับราคาล่าสุดปี 2565
รับประกันคุณภาพตัวรถ Warranty นาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
รับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร รับประกันระบบไฟฟ้า นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
INTERIOR
มาเล่ากันในส่วนของภายในกันก่อนต้องบอกก่อนว่ารีวิวของเรานั้นอาจจะไม่ได้เน้นไปทางสเปคจัดเต็มอะไรแต่จะเน้นไปแนวๆเล่าให้ฟัง หลังจากใช้งานจริงกันมากกว่านะครับว่าการจัดวางอะไรยังไงใช้งานจริงเป็นยังไงกันบ้างครับในส่วนของภายใน Nissan Leaf นั้นจะเน้นไปทางโทนสีดำเป็นหลักรวมถึงทั้งตัวภายในเบาะและส่วนอื่นๆครับ วัสดุที่ใช้งานนั้นจะเป็นพลาสติก นุ่ม ผสมกับแข็งกันไปตรงส่วนนี้แอบน่าเสียดายในหลายๆอย่างทั้งตัวออฟชั่น และ การใช้งานวัสดุของภายใน ยังเจอวัสดุแบบแข็งเยอะมากๆ ไม่มีการบุนุ่มเท่าไรในส่วนของ คอนโซลหน้า และตัวการใช้งานโทนสีไฟนั้นยังคงเป็นสีส้มเป็นหลัก ซึ่งค่อนข้างขัดกับตัวหน้าปัดหรือส่วนอื่นๆของรถที่จะเน้นไปทางสีฟ้า รวมถึงไฟในรถก็ยังเป็นโทนส้มๆมากกว่าใช้โทนสีขาวสว่างครับ ในส่วนของหน้าจอวิทยุนั้น ในรุ่นนี้ยังไม่ได้ให้ระบบสัมผัสอะไรมาให้ และยังไม่ใช่จอสัมผัสเต็มรูปแบบ หน้าจอเครื่องเสียง ขนาด 5 นิ้ว แบบสีครับ ก็เป็นอีกจุดที่น่าเสียดาย ในส่วนของแอร์นั้น ให้แอร์ออโต้มาให้และมีระบบ อุ่มเบาะมาให้ทั้ง 2 ข้างด้านหน้าครับ ในส่วนของเบาะนั้นจะเป็นเบาะหนังสลับกับเล่นแบบหนังกลับสวยงามครับ ภายในค่อนข้างกว้างและโปร่งไม่อึดอัดเท่าไร และ หน้าปัดเป็นดิจิตัลผสม
ในส่วนของภายในนั้นกระจกอะไรทำมุมค่อนข้างดีไม่บังสายตา และไม่อึดอัดถือว่าเป็นข้อดีของค่ายนี้คือภายในนั้นจะไม่อึดอัดและโปร่งโล่งพอสมควรครับ นั่งสบายพื้นที่ Headroom นั้นโล่งพอสมควร ทั้งด้านหน้าและด้านหลังจริงๆถือว่านั่งสบาย พอสมควรตัวรถโปร่งและใหญ่กว่าที่คิดครับ แต่เสียดายมากๆในตัวเบาะคู่หน้านั้นยังคงเป็นปรับแบบมือทั้ง 6 ตำแหน่งครับ ทั้งตำแหน่งคนขับ และ ข้างคนขับ ส่วนอุปกรณ์ต่างๆเช่นพวก ปุ่มสตาร์ท Push Start Button มีมาให้ครับ และ ปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยมีมาให้ใช้งานครบ รวมถึง Cruise Control พื้นที่นั่งในด้านหลังนั้นรองรับได้สบายครับสามารถนั่ง 3-4 คนได้เลยแบบไม่อึดอัด ถ้าคนตัวไม่ใหญ่แต่ถ้าผู้ใหญ่ 3 คนจะกำลังดีครับพื้นที่วางแก้วน้ำอะไรในด้านหน้าหลังนั้นมีมาให้เพียงพอ ตามประตู ส่วนลำโพงมีมาให้ 4 ตัวในรุ่นนี้ครับ เนื่องจากมันเป็นรถไฟฟ้าเลยไม่ได้มีเกียร์อะไรเหมือนรถทั่วไป ตัวคุมเกียร์นั้นจะเป็นตัวปุ่มโยกเล็กๆ ซึ่งกดเข้าเกียร์ P และ เลื่อนไป D N R ได้ครับ และ มีโหมดการขับแบบ Eco – B -D ซึ่งจะทำหน้าที่แตกต่างกันไปแล้วแต่การประหยัดพลังงานซึ่งโหมด B จะเป็นโหมดที่ Regen พลังงานกลับได้ด้วย ส่วนโหมด D นั้นจะพุ่งที่สุด และแรงที่สุดนั้นเอง
พื้นที่เก็บสัมภาระค่อนข้างกว้างมากกกในด้านหลังใส่ของได้สบายๆครับเ นื่องจากมันเป็นรถไฟฟ้าเลยทำให้เอาแบตไปไว้ใต้ท้องรถทั้งหมดเลยไม่ต้องเอามาไว้แบบรถยนต์ Hybrid เลยไม่เกะกะข้างหลังครับ แต่มันจะไม่ได้เรียบกันแบบพวก Jazz ที่จะเรียบไปเหมือนกันครับ ซึ่งในรุ่นนี้เบาะมันจะขึ้นมานิดหน่อยทำให้เป็นระดับของมันไม่ได้เรียบเป็นชันเดียวกันครับ ฝาท้ายนั้นสามารถเปิดได้ปกติแต่ไม่มีระบบไฟฟ้าอะไรเข้ามาในส่วนของฝาท้าย มีที่บังสัมภาระมาให้สามารถเกี่ยวหรือถอดออกได้แล้วแต่สะดวก ตัวสายชาร์จจะอยู่ข้างๆภายในส่วนของล้ออะไหล่นั้นจะอยู่ด้านล่างรถครับไม่ได้ใส่ไว้ข้างในตัวรถครับ โดยรวมภายในมันถือว่าทำออกมานั่งสบายโปร่งโล่ง และไม่อึดอัดเลย แต่ยังขัดใจพวกฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามามันไม่ค่อยจัดเต็มมากนักเมื่อเทียบกับเรทราคาของเจ้าคันนี้ และ การใช้วัสดุในบางจุดนั้นยังเป็นแบบวัสดุแบบแข็งไม่มีบุนุ่มมาในส่วนของคอนโซล หลักๆในด้านหน้า แต่ตรงประตูก็พอมีมาให้พอสมควรครับ
EXTERIOR
ในแง่ของภายนอกกันบ้างครับภายนอกในรุ่นนี้ต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นรถ EV หรือรถไฟฟ้าที่สวยมากๆรุ่นนึงที่ขายในไทยครับมันลงตัวจริงๆนะเพราะว่าขับไปไหนคนก็เดินมาถามและมาชมกันครับ แน่นอนว่าด้วยความสวย และ ด้วยความที่มันยังไม่ค่อยเห็นกันเยอะด้วยเลยอาจจะทำให้มันน่าสนใจมากกว่าเดิมครับ ดีไซน์มันทำได้ลงตัวกว่ารุ่นแรกมากๆ ถ้าหากใครจำกันได้รุ่นแรกนั้นอาจจะดูน่ารักๆอ้วนๆนิดหน่อย แต่รุ่นนี้เหมือนจะทำให้การออกแบบนั้น เปรียวและทะมัดทะแมงขึ้นเยอะครับ อีกทั้งเส้นสายนั้นเข้มและชัดเจนขึ้นเยอะและมีความดุดันกว่าเดิมแบบชัดเจน รวมถึงการเล่นสี 2 สีนั้นทำให้ตัวรถนั้นดูไม่หนาและไม่อ้วนเกินไปครับ เป็นการแบ่งทำให้ตัวรถสวยและผอมขึ้นแบบชัดเจน
ตัวภายนอกนั้น ล้อรุ่นนี้ให้มาที่ขนาด 17 นิ้ว ขนาดกำลังดีไม่บางและไม่หนาเกินไปทำให้เวลาขับนั้นไม่กระด้างไปด้วยและเวลาเปลี่ยนยางต่างๆนั้นราคาค่อนข้างเป็นมิตรกว่าพวกล้อขอบใหญ่ๆ และเมื่อเทียบกับถนนเมืองไทยนั้นขนาดล้อตัวนี้ถือว่ากำลังดีครับทางด้านเบรคนั้นเป็นแบบดิสก์เบรคทั้งหมด 4 ล้อครับ ตัวรถขนาดเมื่อดูของจริงนั้นค่อนข้างใหญ่และกว้างขวางกว่าในรูปที่คิดไว้สามารถนั่งได้สบายๆและสามารถขับในเมืองได้กำลังดีไม่เทอะทะครับ ขนาดของมันจัดอยู่ในระดับ C-Segment กลางๆ แต่ด้วยพละกำลังของมันแรงบิดต่างๆมันทำได้ดีและขับขี่ในเมืองค่อนข้างกระชับสะดวกครับ พวงมาลัยอะไรตอบสนองได้ดีคมพอสมควรเลยแหละ ส่วนทางด้านการออกแบบรอบๆคันนั้นเหมือนจะมีชุดแต่งหรือ สเกิร์ตมาให้ในตัวครับทั้งชายด้านข้างและกันชนหน้าหลังนั้นมีลูกเล่นสวยงามเหมือนกัน
ทางด้านของไฟหน้านั้นจัดเต็มมาให้เป็น LED และ มาพร้อมไฟตัดหมอก ครบๆ ตัวไฟหน้านั้นเป็นแบบ Projector Lens แบบ LED พร้อม Daytime Running Light ทั้งไฟสูงไฟต่ำครับ ส่วนไฟเลี้ยวนั้นยังคงเป็นหลอดไส้ แลพไฟตัดหมอกนั้นเป็นแบบหลอดฮาโลเจน และส่วนของไฟหน้านั้นจะมีระบบไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำ แบบอัตโนมัติมาให้ครับ ส่วนทางด้านหลังนั้นจะเป็นไฟ LED แบบทรง มูเมอแรงที่คุ้นเคยของค่ายนี้ เป็นไฟ LED เส้นเมื่อเปิดไฟหรี่ และตัวไฟเบรคนั้นจะเป็น LED เช่นกันแต่จะอยู่โซนข้างล่างของไฟหรี่ครับ ส่วนไฟถอยและไฟเลี้ยวเป็นหลอดไส้ปกติ และไฟส่องป้ายทะเบียนนั้นจะเป็นสีขาวครับ ทางด้านไฟตัดหมอกด้านหลังนั้นไม่มีมาให้นะครับในคันนี้ จริงๆตัวการออกแบบทั้งด้านหน้าและด้านหลังไฟหน้าต่างๆรายละเอียดของมันสวยเอาเรื่องจริงๆทั้งตัวไฟ DRL และไฟท้ายนั้นเป็นทรงที่รับเข้ากันได้ดีและมีความสว่างชัดเจน รวมถึงกินพื้นที่ออกมาด้านข้างให้มองเห็นเวลากลับรถจะเห็นในด้านข้างชัดเจนขึ้น ไฟเบรคดวงที่ 3 นั้นเป็นแบบ LED อยู่ตรงส่วนของข้างบนเป็นชุดเดียวกันกับตัวสปอยเลอร์หลังครับ
ด้านหน้านั้นจะเห็นว่าตรงกระโปรงจะมีช่องเล็กๆเหนือโลโก้ ในส่วนนั้นจะเป็นส่วนที่สำหรับชาร์จไฟเข้าครับมีช่องเปิดแยกจากประโปรงหลักรวมถึงสามารถเสียบชาร์จได้ 2 รู Type-1 และ CHAdeMO แน่นอนว่าตัวชาร์จในช่องนี้มีไฟส่องสว่างมาให้และสามารถเสียบใช้งานแม้จะฝนตกก็ไม่เป็นไรครับ สามารถกดเปิดได้ผ่านรีโมทหรือในรถได้เลย ส่วนในรุ่นนี้มีกล้องรอบคันมาให้ทั้งด้านหน้าหลัง และด้านข้าง รวมถึงมุมมองแบบ 360 องศาก็มีมาให้เช่นเดียวกัน
ในเรื่องของความปลอดภัยนั้น ถือว่าให้ความปลอดภัยมาครบๆ รวมถึงระบบช่วยเหลือแต่น่าเสียดายว่าในไทยนั้นไม่มี Autopilot หรือ ระบบช่วยจอดมาให้ครับจะมีเพียงแค่ระบบเตือนด้านหน้าและเบรคอัตโนมัติให้เวลาใกล้จะชน ส่วนอุปกรณ์อื่นๆนั้นจะมี ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง ม่านนิรภัย 2 ตำแหน่ง ระบบเบรก ABS / EBD / BA ระบบเตือนการชนด้านหน้า FCW ระบบเบรกอัตโนมัติ FEB ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง ATC ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว VDCระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Start Assist กล้องมองภาพรอบทิศทาง Around View Monitor ระบบตรวจจับวัตถุ และ ส่งสัญญาณเตือน MODระบบเตือนเมื่อผู้ขับขี่เกิดอาการเหนื่อยล้า DAA ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB ก็ถือว่าเป็นมาตรฐานของรถยนต์ในยุคนี้ครับ
เอาจริงๆหลังจากที่ได้ลองมันขับขี่เป็นเวลาหลายๆวันก็ต้องบอกว่าทั้งตัวรถและการออกแบบต่างๆมันลงตัวมากๆเลยแหละรวมถึงระบบไฟฟ้า แรงขับ การขับขี่ควบคุมทรงตัวมันลงตัวไปหมดเลยไปรถยนต์ที่ดีมากๆอีกคันอีกทั้งดีไซน์ก็ถือว่าสวยงามและดูไม่เหมือนรถพลังงานไฟฟ้าในยุคก่อนๆ ต้องบอกว่าเหมือนรถยนต์ทั่วไปมากขึ้น และพื้นที่ใช้สอยของมันก็เยอะครับ และคนที่ใช้งานในเมืองก็น่าจะชอบทั้งตัวช่วยเช่นพวก E-Pedal ต่างๆทำให้การขับขี่ในเมืองสะดวกมากๆ และด้วยรูปทรงของมันไม่ใหญ่เกะกะเกินไป และมุมมองรอบคันนั้นทำได้ดี เวลาถอดจอดหรือใช้งาน ส่วนใครที่อยากอ่านในแง่ของรายละเอียดตัวรถแบบลึกกว่าเดิมไปตามที่บทความนี้ได้เลยครับ TEST DRIVE
หัวชาร์จ TYPE-1
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนเลยว่าหัวชาร์จของรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีหลากหลายแบบมาก ไม่ใช่แบบหัวเดียวใช้กันได้เอาง่ายๆมันก็เหมือนมือถือ ครับ และเช่นกันในบรรดารถยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเทศแต่ละโซนก็มีหัวแตกต่างกันไป โดนจะมีหัวแบบ Type 1 ซึ่งเจอในรถยนต์ญี่ปุ่นหรือโซนอเมริกาและ ในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกๆ ต่อมาจะเป็น Type 2 ที่จะเจอกันใน แถบยุโรปต่างๆและเป็นหัวที่ใช้กันเยอะมากๆทั้งรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Plugin Hybird รวมถึง MG และ ยังมีหัวแบบชาร์จไวอีกต่างหาก คือ หัวชาร์จแบบ CHAdeMO ที่ใช้กันในรุ่นนี้ และ อีกแบบคือ หัวชาร์จแบบ GB/T และ ยังมี หัวชาร์จแบบ CCS ที่แยกเป็นอีก 2 Type ครับ แน่นอนว่ามันหลากหลายกว่าที่คิดไว้เยอะมาก แต่ในรุ่นของ Nissan Leaf นั้นจะใช้งานหัวแบบ Type 1 และ CHAdeMo นั้นเอง และบอกเลยว่าหัวแบบ Type 1 นั้นในไทยกว่าจะหาได้นั้นยากพอสมควร และ หลังจากที่ได้ลองขับนั้นมันหายากจริงๆและไม่มีตัวแปลงอะไรใช้งานได้ด้วย เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังกันว่า ในการใช้งานทั่วไปนั้นจะเจอหัวชาร์จอะไรแบบไหนกันบ้างครับในทดสอบข้างล่างเลย
ส่วนตัวแปลงสายนั้นก็มีมาให้เช่นกันแต่ตัวแปลงแบบนี้จะใช้งานได้กับแค่ที่ชาร์จที่สามารถถอดหัวจากเต้าเสียบออกได้ไม่สามารถเสียบ สายต่อสาย ได้ครับ ซึ่งหาได้ยากกมากกกก ที่จะถอดจากเต้าเสียบได้ และพวกตู้ DC นั้นก็ไม่เปิดใช้เลยเท่าที่ขับมาเพราะเค้ายังไม่อนุมัติกัน เนี่ยแหละเลยทำให้มันเป็นเรื่องลำบากมากๆต่อการไปพึ่งพาพวกที่ชาร์จข้างนอกครับ
QUICK CHARGE โดย NISSAN หัวแบบ CHAdeMo
อีก 1 ข้อดีของคนที่ใช้งานรถยนต์ของ Nissan ในช่วงนี้คือสามารถชาร์จไฟแบบ Quick charge ได้ฟรี เอาง่ายๆคือขับรถฟรีๆไม่ต้องเสียค่าไฟกันเลยครับแอบคุ้มกันอยู่เล็กน้อยเป็นข้อดีของคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าช่วงแรกๆกัน แต่ !! การชาร์จที่ศูนย์นั้น จะชาร์จได้แค่วันทำการ และ ก่อน 5 โมงเท่านั้นซึ่งจุดเนี่ยแหละ มันยังไม่ค่อยโอเคสำหรับการตอบโจทย์หรือเป็นที่พึ่งของผู้ใช้งาน ยาม ฉุกเฉินเท่าไรครับ และแอดมินเองก็เจอมากับตัวเลยเพราะว่า ยามฉุกเฉินแต่ไม่สามารถไปชาร์จได้เพราะมันปิดไปก่อน จริงๆเลยอยาก Feedback ไปว่าทางเปิดให้ใช้งานยามฉุกเฉินจริงๆควรมีการรองรับ 24 ชั่วโมง เผื่อเป็นจุดที่ทุกคนสามารถพึ่งพาได้ เพราะของเอกชนหรือรัฐบาลนั้นยังไม่ 100% นักครับ และอีกข้อเลยคือการชาร์จแบบไวนั้นจะทำให้แบตเสื่อมได้ไวขึ้นเป็นปกติของรถยนต์ไฟฟ้า หรือ พวกแบตทั่วไปเหมือนมือถือนั้นเองครับ และเรามาลองใช้งานกันดูเลยว่าจากที่แอดมินไปลองขับชาร์จจริงๆนั้นเจออะไรบ้าง และศูนย์เค้ารู้เรื่องกันไหมครับ !
ในการใช้งานจริงๆนั้น ก่อนอื่นเลยต้องแนะนำให้ทุกคนที่ขับรถคันนี้ โหลดแอพมาก่อนเลยครับหลักๆคือ แอพ NISSAN CONNECT / EA Anywhere / Plugshare / MEA EV หลักๆคือแอพพวกนี้จะคอยดูสถานีชาร์จและที่รองรับหลักๆครับผม ซึ่งก็จะมีอัปเดตกันเรื่อยๆแนะนำเลยว่าให้มีไว้ทุกคนที่ขับรถไฟฟ้าครับ ในด้านการใช้งานที่ชาร์จไฟฟ้า Quick charge จากทาง Nissan นั้นไปลองมาค่อนข้างหลายที่ ทุกที่ล้วนบริการได้ดีครับ เวลาทำการ มีเจ้าหน้าที่รู้เรื่อง สามารถใช้งานได้เลย แต่บางที่นั้นก็ยังมีเสียเวลาหาบัตร หรือ ตามบัตรกันนิดหน่อย เพราะตัวแท่นชาร์จนั้นต้องใช้งานบัตรมาเปิดเครื่อง ซึ่งจุดนี้แหละทำให้มันติดขัด เวลาใช้งานบางทีเพราะบัตรมันมีใบเดียวและพกอยู่กับ ผู้จัดการ ถ้าผู้จัดการไม่อยู่หรือนอกเวลาทำการ ที่ต้องใช้งานจริงๆยามฉุกเฉินคือ ชาร์จไม่ได้แม้เราจะจอดอยู่หน้าตู้ชาร์จไฟก็ตามครับ
ในการชาร์จไฟนั้นเนื่องจากตามศูนย์ที่รองรับนั้นจะเป็นหัวแบบ CHAdeMo เลยทำให้ชาร์จไฟได้ 0-80% ได้ภายใน 40 นาทีเท่านั้น และจะชาร์จให้เต็ม 100% ไม่ได้ครับ และจากที่ทดสอบนั้นทุกที่จะใช้เวลาประมาณนี้กันหมดเลยไม่ว่าแบตจะเหลือน้อยหรือมากก็ตามจะต้องเผื่อเวลาไว้ 30-40 นาทีในการชาร์จไฟเข้า ซึ่งก็โอเคในระยะเวลาของมัน เพราะมีที่นั่งรองรับและสามารถใช้บริการในศูนย์ได้ ถ้าเวลาทำการครับ แต่ถ้าจะชาร์จวันอาทิตย์ต้องบอกเลยว่าลำบากแน่นอนและก็เป็นอีกจุดที่อยากให้ปรับปรุงจริงๆเพราะถ้าคนจำเป็น หรือ ฉุกเฉินจริงๆเราไม่สามารถกำหนดวันเวลาได้แน่นอนครับ เพราะทางเราแม้จะวางแผนมาแล้วอย่างดี ก็มีเจอเหตุการณ์ที่ต้องชาร์จวันอาทิตย์ก่อนเข้าบ้านเหมือนกันนั้นเอง
ขับไปหัวหิน !! ลองจริง ขับจริง !
ทางเราได้ลองขับไปหัวหินถ้าเวลาทำการนั้นผมบอกเลยว่าก็ชาร์จได้ ไม่มีปัญหา และจากระยะทางไปถึงหัวหินแบตเหลือประมาณ 6% เท่านั้นแต่ก็สามารถขับไปชาร์จที่ Nissan หัวหินได้อย่างพอดีตามระยะทางที่วางไว้ครับ โดยในการเดินทางทั้งหมดวางแผนเรียบร้อยทั้งจุดชาร์จ และ จุดหลักคือศูนย์นิสสัน คำนวณระยะทางไว้เรียบร้อยครับ ตอนกลางวันผมไปชาร์จได้ปกติ แต่ก็ใช้เวลาในการเปิดเครื่อง งงๆ มึนๆกันอยู่ครับ แต่ก็สามารถใช้งานได้ปกติ แต่ที่เจอนั้นในช่วงตอนกลับนั้นเอง ทางศูนย์มันปิดแค่ 5 โมงเย็น ซึ่งผมกลับมาจุดนี้เกินเวลานั้นแน่ๆเพราะพึ่งถึงตอนบ่าย 3 และแน่นอนว่าผมถามทางศูนย์แล้วว่า รองรับดึกๆได้ใช่ไหม ทางศูนย์ที่ผมไปชาร์จบอกว่ามาได้ เดี๋ยวผมฝากบัตรไว้ แต่สุดท้ายก่อนที่ผมจะกลับ กทม นั้นเค้าก็ไม่ได้ฝากบัตรไว้รวมถึง บัตรก็อยู่ในศูนย์เลยทำให้ไม่สามารถชาร์จไฟได้ แม้ตู้จะอยู่ข้างหน้าและมีไฟพร้อม จริงๆในความเห็นผมมันควรจะซัพพอร์ตได้ 24 ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำครับ
แต่ที่วางแผนไว้นั้นมันผิดพลาดไปหมดในการขับกลับ กทม แต่สุดท้ายได้ติดต่อ ผจก สาขา แล้วเอาบัตรมาแตะให้ ซึ่งถ้าหากตอนกลางวันผมไม่ได้แวะมาและขอนามบัตรนั้นจะไม่มีทางติดต่อ และ ไม่สามารถขับกลับได้แน่ๆครับ ผมจอดรอและโทรถาม เวลาประมาณ 2 ทุ่ม สุดท้ายนั้น บัตรมาเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ชาร์จและกลับถึงกทมก็ดึกเลยแหละครับ แต่ก็ขอขอบคุณทาง ผจก ที่เอาบัตรมาแตะให้จริงๆครับ แต่ระบบมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย เลยทำให้วุ่นวายและลำบากมากๆ ถ้าอนาคตรองรับได้ทุกคนและใช้งานได้ 24 ชม. จะช่วยในจุดนี้ได้ดีมากๆเลยครับ
เนื่องจากเมื่อคืนนั้นไม่สามารถขับกลับถึงบ้านได้ เลยต้องหานอนที่บ้านเพื่อนคนรู้จักแทน และกะไว้ว่าตอนเช้าจะมาชาร์จก่อนกลับเข้าบ้านครับ ซึ่ง ตอนเช้าวันนี้ก็ปัญหาเดิมคือ บัตรควรอยู่กับคนภายนอก เพราะแบบนี้วันอาทิตย์ก็ไม่สามารถเข้า ชาร์จไฟที่ศูนย์ Nissan ได้เลยยย แต่ตั้งไว้ข้างนอก และในแอพก็แจ้งว่าเข้ามาชาร์จได้ ซึ่งแม้จะอยู่ในตัวเมืองก็ไม่สามารถรองรับกับคนใช้งานได้ ถ้าต้องใช้รถในวันอาทิตย์หรือต้องใช้ชาร์จไวข้างนอกบ้านหลังจากออกมาจากบ้านอะไรแบบนี้ไม่สามารถทำได้เลย และ วันธรรมดาก็ปิด 5 โมงหลังจากนั้นก็ชาร์จไม่ได้ครับ เป็นจุดหลักๆที่อาจจะต้องระวังกันหน่อยถ้าฉุกเฉินจริงๆครับ **สำหรับไป ตจว ไม่แนะนำมากนัก เพราะทางเราลองให้แล้วครับไม่ต้องไปลองกันระยะไกลๆนะ แต่ถ้ามันขับในเมือง ไปกลับทุกวัน ชาร์จที่บ้านได้มันไม่มีปัญหานี้เลยครับผม สบายๆครับ
สรุปในการเดินทางไปหัวหิน ในเรื่องของตัวรถยนต์นั้น ขับขี่ได้สบาย แร่งแซงรถใหญ่ๆได้ นิ่งๆครับ กดเป็นมาหลังติดเบาะ ช่วงล่างอะไรเข้าโค้งนั้นเอาอยู่ทั้งหมดไม่มีปัญหาเลย ส่วนการเก็บเสียงทำได้ดีแต่อาจจะยังไม่เท่าพวก D Seg ของค่ายครับ แต่ก็ถือว่าดีเงียบพอสมควรแล้วในเรื่องเสียงจากใต้ท้องหรือลมครับ ส่วนการใช้พลังงานนั้น ชาร์จ 80% จาก กทม ไปถึงหัวหิน แวะชาร์จ EA ขึ้นมา 5% แบบชาร์จฟรี จอกพักแปปนึง ครับ ขับไปถึงศูนย์ NISSAN เหลือ 10% ใช้ความเร็ว 90-110 ประมาณขับแบบปกติ นั่ง 3 คน เปิดแอร์ 25 ครับ D และปิด ECO ไปแวะชาร์จที่ Nissan ได้แบตขึ้นมา 80% และไปขับเล่นในเมืองกลับมาชาร์จอีกทีตอนขากลับ เวลา 2 ทุ่ม แบตเหลือ 35% โดยประมาณ ขับไม่ถึง กทม เลยต้องชาร์จอีกรอบ เมื่อชาร์จ 80% แล้วสามารถขับไปแถว พระราม 2 ได้แบบพอดี แต่ไม่สามารถขับไปถึงบ้านที่มีที่ชาร์จได้ ด้วยระยะทางที่กะไว้ เลยต้องนอนพักแถวพระราม 2 และรอไปชาร์จที่ศูนย์ตอนเช้าแถวนั้นอีกรอบครับ แล้วจึงขับกลับมาแถววิภาวดีได้และกลับเข้าบ้านได้ ชาร์จเต็มจริงๆนั้นจะวิ่งได้ 260-280 เท่านั้นไม่ถึง 311 กม และถ้าเปิดแอร์จะหายไป 10 กม โดยเฉลี่ยจากระยะที่บอกครับ
EA ANYWHERE ทั้งฟรี และ เสียเงิน
ส่วน Ea Anywhere ชาร์จได้แต่มันจะช้ามากๆ 1 ชั่วโมงขึ้นมา 15 % แบบเสียตัง และถ้าแบบฟรีนั้นจะจ่ายไฟน้อยกว่ามาก 1 ชั่วโมงได้มาแค่ 5-7% เท่านั้นโดยประมาณและ ส่วนใหญ่นั้นเป็น Type 2 ซึ่งไม่สามารถใช้ชาร์จได้ด้วยครับ ผมไปขับเช็คและบางที่ก็ไม่สามารถเข้าได้แม้จะมีในแอพมีประตูล็อคบ้าง เป็นต้นครับ แอบเซงมากจริงๆครับ มาแชร์เพื่ออยากให้มันพัฒนาและรองรับได้ดีกว่านี้ และตู้ DC ของ EA นั้นก็ยังไม่มีจุดไหนที่เปิดเลย เพราะยังไม่สามารถทำเรื่องได้ เลยทำให้สายชาร์จที่เป็นหัว 2 ไป 1 นั้นใช้ไม่ได้เลยครับ
และผมลองชาร์จ 100% ล่าสุดนั้นจะวิ่งได้ประมาณ 264 ในที่โชว์จากหน้าปัดครับ และควรเผื่อคลาดเคลื่อน 30 กม เพราะเคยคิดคำนวณไว้มันมีปลายปัจจัยในการใช้งานที่อาจจะไมไ่ด้เป๊ะมากๆ ตามที่โชว์อันนี้ทุกคนควรเผื่อไว้ด้วยเช่นกันครับแบต 100% เต็ม ชาร์จ Wallbox Ea Anywhere 4 ชั่วโมง จาก 60%-100% เต็มม แบบเสียตังจะไวกว่าแบบชาร์จฟรี ชาร์จฟรี 4 ชั่วโมงจะได้ 25% ประมาณ แต่แบบเสียตังจะได้ 40-50% เลยใน 4 ชั่วโมง ซึ่งคิดราคาทั้งหมดจะเป็น 150 บาท ซึ่งทางเราได้ไปลองมาหลายที่มาก ตามรูปที่ลงเลยครับ และส่วนใหญ่ใช้กับ Nissan Leaf ไม่ได้เลยนั้นเอง และ บางที่ก็มีรถมาจอดแย่งบ้าง รถทั่วไปมาจอดแย่ง เข้าไปชาร์จไม่ได้บ้าง ประตูกั้นไว้บ้างเป็นต้นครับ
เต็มถังนั้นสามารถวิ่งได้ 265 กม จากที่เคลมไว้ 311 กม ถือว่าลดไปเยอะอยู่ขึ้นอยู่กับโหมดและเร่งอีกที ใช้งานจริงๆควรเผื่อหักไปอีก 30 กิโล เท่ากับว่า วิ่งได้ชัวร์ๆ 230 กม. ในการชาร์จถ้าไฟบ้านคิด 0-100% จะประมาณ 220 บาท ค่าไฟปกติ แต่ถ้าเราไปชาร์จตามพวกตู้นั้นน่าจะแพงกว่า เพราะชาร์จเต็มประมาณ 8 ชม ก็ 300 บาท แต่ถ้าซื้อ Wallbox ติดที่บ้าน จะได้ความเร็ว 6-8 ชั่วโมงเต็ม 100% ค่าติดตั้งประมาณ 59,000 บาทครับหรือ ถ้าเอาแค่ถูกหน่อย สายชาร์จที่แถมมา และติดตั้งหัวแปลงไม่ต้องมีตู้นั้นจะแค่ 9800 บาทแต่ชาร์จเต็มนั้นจะใช้เวลา 12 ชั่วโมงนะครับ
ในภาพรวมนั้นของ EA ยังคงเน้นไปทางหัวแบบ TYPE 2 เยอะมากกกครับ ในเมือง และหา TYPE 1 ได้น้อยมากๆเลย อันนี้ต้องเช็คในแอพดีๆครับ ส่วนในเรื่องตู้ DC ตู้ใหญ่นั้นยังไม่เปิดใช้งาน เลยทำให้ลำบากไปพอสมควร แต่ถ้าอนาคตเปิดใช้งาน ทุกที่ที่ถ่ายมานั้นจะสามารถชาร์จได้ทั้งหมดครับ
CHARGE ในสถานที่อื่นๆ ที่รองรับ
ในจุดอื่นๆเช่นตามห้างนั้นก็พอมีส่วนที่รองรับครับและในหลายๆเครือของแต่ละห้างก็เริ่มมีเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ต้องทำใจไว้เลยว่าตามที่ชาร์จนั้นพวกรถ Plugin hybrid จะจองเต็มๆทั้งหมดเลยส่วนที่เป็นชาร์จไฟฟรีทั้งหลายครับถึงกับต้องต่อคิวเข้ากันครับจากที่ลงในภาพด้านนั้นจะเป็นตัวที่ชาร์จจาก Central World แม้จะมีค่อนข้างหลายจุดและมีทั้งหัวแบบ Type 1 และ 2 แต่ก็ยังไม่เพียงพอเท่าไรครับแน่นนอนว่ารถทุกคันที่จอดก็ต้องใช้เวลาและต่อคิวนานกันพอสมควร ใครที่จะไปหวังในห้างวัน ส-อ อาจจะต้องเผื่อใจกันไว้ครับ หรือจะวันธรรมดาถ้าห้างหลักๆนั้นก็อาจจะลำบากันพอสมควร แต่ในสถานที่อื่นๆเช่นพระราม 9 หรือ ที่อื่นๆก็เริ่มมีจุดชาร์จกันเยอะขึ้นมากเรื่อยๆครับในเรื่องนี้
และตามโรงแรม คอนโด ก็เริ่มมีที่ชาร์จรถไฟฟ้าเข้ามาเยอะขึ้น แต่ทั้งนี้ก็จะเป็นแบบ Type 2 กันหมดเลยเช่นในภาพด้านบนนั้นไปโรงแรมก็เจอที่ชาร์จไปลองใช้งานดูสอบถามก็เจอเป็นหัวแบบ Type 2 และไม่สามารถใช้งานสายแปลงได้เพราะไม่สามารถถอดหัวออกมาได้ครับจากตัวเครื่องเลยทำให้อดชาร์จไป และ ในหลายๆโรงแรม คอนโด ยังคงเจอแบบ Type 2 ทั้งหมดเลย และเวลาจะชาร์จต้องติดต่อขอบัตรจากพนักงานหรือทางโรงแรมก่อนทุกครั้งครับ
ในห้าง Centralworld นั้นมันจะมีจุดจอดรถในโซน K สีฟ้าที่มีที่ชาร์จไฟฟ้า 1 จุดแบบหลบๆไว้ครับจุดนี้แหละจะว่างบ่อยมาก และสามารถถอดสายออกจากตัวชาร์จได้จึงสามารถใช้สายแปลงที่ให้มาแล้วเสียบเข้ากับตัว WallBox และเสียบชาร์จเข้าได้เลยครับ ก็ถือว่าสะดวกถ้าเป็นตัวที่ชาร์จแบบนี้ ทางด้านพนักงานก็มาดูแนะนำให้พร้อมกับเช็คอะไรให้เวลาเรามาจอดครับ จริงๆจุดนี้ที่ไปหลายๆครั้งจะเจอว่างบ่อยๆเพราะมันจะอยู่โซนท้ายๆเลย และมีจุดเดียว แต่ก็ไม่ต้องไปแย่งกับโซนใหญ่ครับก็สะดวกดีเหมือนกัน และที่ลองคือไม่เสียตัง สามารถชาร์จได้ฟรีเลยนั้นเองในจุดนี้
NISSAN LEAF EV Car
” เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับขี่ดีมาก งานประกอบทุกอย่างมันดีไปหมด แต่เรื่องที่ชาร์จต้องดูกันดีๆ “
จากที่ลองใช้งานขับอยู่กับมันต้องบอกว่าค่อนข้างติดใจกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างมากทั้งเรื่องของการขับขี่ความสะดวกสบายในการขับขี่ในเมือง อัตราเร่งในเมืองมันขับได้สนุกรวมถึงขับระยะทางไกลๆด้วยเช่นกัน มันสามารถเร่งแซง ขึ้นเขา เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจมากจริงๆเพราะด้วยช่วงล่าง การวางแบตรวมถึง การควบคุมมันเอาอยู่ได้สบายครับ ส่วนตัวภายในนั้นทั้งเรื่องของเบาะนั้นทำได้ดีในแง่ของการนั่งและกระชับ มีแค่พนักพิงหัวที่อาจจะดันเล็กน้อยครับ กับเรื่องของออพชั่นฟีเจอร์ที่เมื่อเทียบกับราคาแล้วอาจจะดูไม่ค่อยสมราคากันเท่าไร จะเป็นที่ฟีเจอร์ หรือ วัสดุออพชั่นภายในซะมากกว่าครับ และในเรื่องของที่ชาร์จตอนนี้ถ้าเราซื้อมาใช้งานขับในเมืองทั่วไป ไปทำงานกลับมาบ้านนั้นถือว่ารองรับได้สบายและที่บ้านนั้นมีที่ชาร์จอยู่แล้วนั้นยิ่งสามารถรองรับได้แบบไม่มีปัญหา แต่ถ้าใครที่เป็นรถคันเดียวในบ้าน และใช้งานขับต่างจังหวัดอาจจะยังไม่ค่อยเหมาะในตอนนี้ครับ หรือถ้าไปในโซนใกล้ๆเช่นที่ลองขับไป อยุธยา นครปฐม นั้นก็สามารถขับไปกลับได้ครับ โดยแวะชาร์จนิดหน่อยระหว่างทาง หรือ ขากลับก็แวะชาร์จตามศูนย์ได้แบบไม่มีปัญหาครับ แต่ถ้าไปไกลๆเช่น หัวหิน หรือ เขาใหญ่ อาจจะต้องไปค้างหรือแวะชาร์จตาม โรงแรมทิ้งไว้คืนนึงจะดีกว่า
สำหรับรีวิวนี้เป็นครั้งแรกที่ทางเราทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะนำแนะยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามติดต่อและ หามาให้อ่านกันเยอะๆขึ้นเรื่อยๆสำหรับ Techhangout Auto !
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review by Nineztr