เปิดตัวกันไปในไทยเรียบร้อยสำหรับเรือธง OPPO รุ่น Reno 10x Zoom เรือธงกล้องโหดซูมได้ 60 เท่า พร้อมสเปคที่จัดเต็มอย่างแรง Snapdragon 855 เป็นรุ่นที่จัดเต็มที่สุดของค่ายเลย และครั้งนี้เราขอเอามารีวิวให้ชมกันหน่อย สำหรับรีวิวนี้เป็นรุ่นพรีเมี่ยมของค่ายที่ห่างหายไปนานตั้งแต่ FindX ก่อนหน้านี้และครั้งนี้ก็กลับมาจัดเต็มกว่าเดิม สานต่อการออกแบบไร้ติ่งจากรุ่นพี่และพัฒนาเรื่องกล้องเพิ่มเข้ามา ดีไซน์ที่แปลกใหม่กว่าเดิม สเปคที่ดีกว่าเดิม และระบบหน้าตาที่ใหม่กว่าเดิมสำหรับ OPPO RENO ครั้งนี้จัดเต็มมาก เปิดตัวมา 2 รุ่น คือรุ่น ปกติ OPPO Reno และ OPPO Reno 10X ZOOM รุ่นท็อป เราจะมารีวิวเป็นรุ่นท็อปกันครับสำหรับรอบนี้ จัดเต็มสุดๆกันไปเลยรีวิวนี้

สำหรับรุ่น OPPO RENO 10X Zoom นั้นเป็นรุ่นพรีเมี่ยมมากๆ ในตอนนี้เลยแหละเปิดตัวมาด้วยจุดเด่นเยอะมากๆที่ยัดเข้ามาในเครื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพ CPU สเปคที่จัดเต็มด้วย Snapdragon 855 ใช้งาน RAM 8GB และความจุจัดเต็ม 256GB ส่วนเรื่องกล้องก็จัดเต็มมา 3 ตัว รองรับมุมกว้าง และที่เด่นๆคือเลนส์แบบพิเศษ ที่รองรับการซูม 10X แบบคมชัด Hybrid Zoom และ สูงสุดถึง 60X Digital Zoom มากที่สุดในตลาดตอนนี้ ส่วนเรื่องดีไซน์นั้นก็เป็นจุดเด่นนึงในการออกแบบหน้าจอแบบไม่มีติ่ง Panoramic full-screen AMOLED หน้าจอเต็มตาและดีไซน์กล้องหน้าแบบ Pivot Rising ขึ้นมาแบบครีบฉลาม แปลกใหม่มากๆครับ และจุดเด่นยังคงมีมาคือ  VOOC Flash Charge 3.0  ที่ชาร์จไวมากๆครับ และเรื่องสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอต่างๆอะไรนั้นจัดเต็ม

OPPO RENO 10X Zoom เปิดตัวในไทยมาในสเปค RAM 8GB STORAGE 256 GB มาพร้อมกับ 2 สีหลักๆ  Ocean Green, Jet Black เปิดราคาในไทยที่ 28,990 บาท 

UNBOX

แกะกล่องกันหน่อยกล้องมาในโทนสีขาว ออกแบบนั้นจะคล้ายๆกับเป็นรูปด้านหลังของเครื่อง Reno ไว้ ทั้งตำแหน่งกล้องต่างๆ เส้นตรงกลาง พร้อมเล่นกับแสง เป็นสีรุ้งสวยงามกล่องดูยาวๆครับแปลกตาดีเหมือนกัน แต่ดูหรูเอาเรื่อง

  • ตัวเครื่อง OPPO RENO10X ZOOM
  • เคสสีดำด้าน
  • ฟิล์มกันรอยติดมาให้จากโรงงาน
  • หูฟัง USB-C
  • สายชาร์จ USB – C
  • Adaptor ชาร์จไฟ VOOC 3.0
  • คู่มือ ที่จิ้มซิม

เคสในรุ่นนี้นั้นทำออกมาค่อนข้างดูดีเลยแหละ จากที่รุ่นก่อนๆนั้น จะเป็นวัสดุแบบ ซิลิโคน TPU ใสๆนิ่มๆไม่มีลวดลายอะไรแต่ในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนมาใช้เคสแบบด้านและทึบ วัสดุนิ่มเหมือนกันแต่มีความหนาพอสมควร เคสนั้นจะเปิดด้านหลังเป็นช่องยาวๆไว้ตามการออกแบบเครื่อง ปกป้องเลนส์กล้องได้ดีครับ เพราะกล้องหลังไม่ได้นูนออกมา ส่วนด้านบนนั้นจะเปิดเว้นว่างไว้เลยสำหรับกล้องหน้าแบบ ครีบฉลามขึ้นมาครับ อาจจะต้องระวังส่วนนี้นิดหน่อย แต่ดีที่รุ่นนี้มีระบบ  Free-Fall Detection เทคโนโลยีที่จะปกป้อง Pivot Rising Camera เมื่อโทรศัพท์ตกกล้องด้านบนก็จะเลื่อนเก็บโดยอัตโนมัติ ส่วนหน้าจอนั้นปกป้องได้นิดหน่อยครับ เวลาวางคว่ำนั้นก็ไม่โดนหน้าจออะไรครับ มีฟิล์มกันรอยแบบปกติมาให้แล้วบนหน้าจอครับ ถือว่าปกป้องได้ค่อนข้างรอบด้าน

DESIGN

การออกแบบรุ่นนี้ถือว่าทำได้ดีเลยแหละ แตกต่างและโดดเด่น ไม่ได้เหมือนใครหรือเลียนแบบใคร ซึ่งทำได้ดีมากๆในรุ่นพรีเมี่ยมครั้งนี้ จากรุ่นก่อนหน้า FindX ก็ทำได้ดีในเรื่องการออกแบบ ในรุ่นนี้ก็ทำได้ดีไม่ผิดหวังอีกครั้ง ส่วนหลังจากที่ได้จับถือนั้นสัมผัสแรกๆเลยคือมันค่อนข้างหนักและหนา ถ้าใครเคยใช้มือถือเล็กๆบางเบามาอาจจะรู้สึกได้ครับแอบหนักไปนิดหน่อยสำหรับรุ่นนี้ น้ำหนัก 210 กรัม สำหรับตัวนี้ ส่วนเรื่อง วัสดุนั้นเรียบเนียนมากๆงานประกอบโคตรดีเลยแหละ ส่วนเรื่องการออกแบบสีฝาหลังนั้นทำได้ดีไล่สีสวยงามทั้งสีดำและสีเขียว จะมีการเล่นกับแสงนิดหน่อยสวยมากๆ

หน้าจอรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเต็มตา AMOLED Panoramic Screen 6.6 นิ้ว แต่ยังเป็น Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : 387 ppi) อัตราส่วน19.5:9 สัดส่วนจอแสดงผลที่ 93.1% และรองรับ DCI-P3 รวมถึง HDR 10+ ความถี่ 60Hz ปกติครับรุ่นนี้ ส่วนกระจกนั้นใช้ของ Gorilla Glass 6 ตัวล่าสุดกันเลยสำหรับรุ่นนี้

ด้านขอบบนหน้าจอนั้นจะไม่มีอะไรเลย กล้องหน้าเซนเซอร์ ลำโพงได้ถูกซ่อนไปทั้งหมด ขอบด้านบนนั้นจะมีการเว้นช่องลำโพงสำหรับคุยไว้ส่งผ่านมาจากกล้องหน้าที่เลื่อนขึ้นลงได้ และเซนเซอร์ ฝังใต้หน้าจอทั้งหมดเลยครับโหดมาก

เมื่อเปิดใช้งานกล้องหน้าขึ้นมานั้นจะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า 16MP และ ลำโพงสนทนา มีโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน รวมถึงติดตั้ง Proximity Sensor ที่ติดตั้งไว้ในส่วนตรงนี้ด้วยครับ การทำงานของกล้องหน้านั้นจะเอียงแบบครีบฉลามแปลกมากๆแต่ทำได้ไวและดูแข็งแรงกว่าแบบเดิมเยอะเลยแหละ

ขอบด้านล่างนั้นถือว่าทำได้บางขึ้นเรื่องๆ ขอบหน้าจอส่วนล่างนั้นจะออกแบบได้ยากมากๆที่จะทำได้บางแต่รุ่นนี้ก็ถือว่าบางกว่ารุ่นอื่นๆอยู่เหมือนกัน การควบคุมนั้นเป็นแบบเต็มหน้าจอ หรือจะเป็นปุ่มปกติก็สามารถเลือกได้เช่นกัน

มากันที่ขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเห็นว่าเป็นส่วนที่กล้องหน้านั้นจะขึ้นมา และ รูไมค์สำหรับตัดเสียงก็อยู่ตรงส่วนนั้นด้วย และตรงขอบหน้าจอสีดำนั้นจะเห็นว่าตรงกลางมีเว้าๆเข้าไปเพื่อจะเป็นช่องสำหรับเสียงส่งมาจากตรงกล้องหน้านั้นเอง

ขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเป็นส่วนที่ปุ่ม Power อยู่ ยังคงมีขีดสีเขียวเข้ามาในส่วนนี้ทำให้มองเห็นได้ชัดแบบเดียวกับรุ่นอื่นๆที่ออกมา และรองรับการทำงานเรียกเป็น Google Assistant ได้ด้วยนะ

ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียง ไม่มีถาดซิมนะครับเพราะ ช่องใส่นั้นไว้ด้านล่างแล้ว ส่วนความหนาก็มีพอสมควรในรุ่นนี้น่าจะต้องใส่กล้องที่เลื่อนขึ้นลงนั้นแหละ และวัสดุเป็นแบบด้านโทนเดียวกับฝาหลัง

ขอบด้านล่างเครื่องกันบ้าง ส่วนนี้จะเป็นที่อยู่ของ ถาดซิมแบบ Hybrid Slot นะครับ และ ช่อง  Type-C  และ รูไมค์ รวมถึง ลำโพงหลักของตัวเครื่องในด้านนี้ ซึ่งลำโพงรุ่นนี้จะเป็นแบบคู่ ทำงานร่วมกันกับขอบบนหน้าจอครับ

ด้านหลังเครื่องกันบ้าง ใช้การออกแบบ แนวคิดแบบ Symmetry Design คือการออกแบบโดยคำนึงถึงความงามอย่างสมมาตร และ สมดุล แบบไร้รอยต่อ การออกแบบฝาหลังนั้นสวยงามมีการเล่นไล่สีสวยงามซึ่งเครื่องรีวิวที่ได้มาเป็นสีดำ จะเป็นวัสดุแบบเงาสวยงามมีการเล่นสี เหลื่อมๆเล็กน้อยถ้าโดนแสงครับ ซึ่งเป็นสีเดียวที่เงาอีกสีจะเป็นสีด้านครับ ซึ่งสีดำนั้นจะออกเทาๆนิดหน่อยถือว่าเป็นสีที่สวยนะเรียบๆแต่ดูมีอะไรเมื่อสะท้อนแสงครับ และเส้นกลางเครื่องก็เป็นแนวเดียวกัน พร้อมกับเขียนชื่อแบรนด์และ Design by OPPO ไว้ด้วยครับ

ตรงส่วนของกล้องนั้นมาพร้อมกับกล้อง 3 ตัวในแนวตั้งที่ตรงกลาง และ ไฟแฟลชนั้นจะไปอยู่ตรงส่วนของ Pivot Rising ที่ขึ้นมาจากข้างบนครับ กล้องหลัง 48MP f1.7 + เทเล แบบ Periscope 13 MP f3.0 +  มุมกว้าง 8 MP f2.2 เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX586  ในตัวหลักครับ และ โฟกัสทำงานแบบ Laser ร่วมกับ PDAF และถ้ามองดีๆจะเห็นว่ามี ปุ่มกลมๆ ใต้กล้องสี่เหลี่ยม และไมค์ นั้นจะเรียกว่า O-Dot   ซึ่งทำมาจากเซรามิก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ปกป้องเลนส์กล้องหลังโดยยกตัวเครื่องด้านหลังให้สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ไม่ให้ฝาหลังนั้นสัมผัสกับพื้นทำให้ไม่เป็นรอยด้วยถือว่าแปลกดีเหมือนกันครับแนวคิดนี้

O-DOT  ป้องกันฝาหลังส่วนบนได้แบบล้ำๆ 

จุดเซรามิก O-Dot ที่เห็นเม็ดๆกลมๆนั้นไม่ใช่ปุ่มพิเศษอะไร แต่มันคือความล้ำของการออกแบบที่รุ่นนี้ฝาหลังนั้นเรียบไปกับตัวกล้องง่ายๆเหมือนกับเอากล้องไปซ่อนไว้ในฝาหลังแน่นอนว่าทำแบบนี้เลนส์เป็นรอยง่ายๆแน่ จึงทำให้มีการออกแบบที่ใส่ใจเข้ามาของจุดนี้ คือการใช้ปุ่มกลมๆที่จะทำหน้าที่ยกตัวเครื่องส่วนบนขึ้นมาและทำให้ไม่เป็นรอยในส่วนเลนส์ด้านบนเลย คือออกแบบได้ว้าวมากและใช้งานจริงจากที่วางมันก็ช่วยได้จริงๆครับดูจากภาพข้างบนได้เลย 

SPEC

  • ระบบ Android 9 ครอบด้วย ColorOS 6
  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด FullHD+
  • CPU  Snapdragon 855 + GPU Adreno 640
  • RAM 8GB STORAGE 256GB
  • กล้องหลัง 3 ตัว  48MP f/1.7มีกันสั่น OIS + เลนส์ระยะเทเล รองรับสูงสุด 5x ความละเอียด 13MP f/3.0 มีกันสั่น OIS  , ระบบโฟกัส PDAF  +  เลนส์ Ultrawide 8MP f/2.2 Fix Focus
  • กล้องหน้า Rivot Rising ความละเอียด  16MP f/2.0
  • Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac
  • Bluetooth 5.0, USB-C
  • ไม่มี รูหูฟัง 3.5 มม.
  • สแกนนิ้วบนหน้าจอ
  • แบตเตอรี่ 4065 mAh รองรับชาร์จไว VOOC 3.0
  • มาพร้อม 2 สี Ocean Green, Jet Black
  • ขนาด 162.0มม.*77.2มม.*9.3มม. 210กรัม

PERFORMANCE

ในเรื่องของประสิทธิภาพนั้น ในรุ่นนี้นั้นต้องบอกว่าจัดเต็มสุดๆของ OPPO ครั้งนี้ทำได้ดีมากๆใช้ CPU ตัวแรงสุด Snapdragon 855  และ ใช้ RAM 8GB LPDDR4x ร่วมกับ Storage 256GB UFS 2.1 เรียกได้ว่าครบๆเหลือๆ ในส่วนของคะแนนนั้น Antutu กันก่อนเลยทำไปได้  357059 คะแนน และส่วนของ GeekBench นั้นทำไปได้ คะแนน 3119 และ 11122 สมกับ Snapdegon 855 และ หน่วยความจำไม่พลาดกับ UFS 2.1 แต่เรื่องความปลอดภัย ยังได้ DRM L1 นะครับทำให้ดู Netflix แบบ HD ได้นั้นเอง และ เรื่องระบบระบายความร้อนก็ทำได้ดีพอสมควรครับ ทั้งตัวแผ่นกราไฟท์  และยังมีท่อทองแดง และเจลระบายความร้อน เข้ามาช่วยในเรื่องระบายความร้อนของตัวเครื่องด้วย

SYSTEM UI

หน้าตาระบบรุ่นนี้ Colour OS 6 ร่วมกับ Android 9 หน้าตาเปลี่ยนไปพอสมควรครับทั้งการตั้งค่า การใช้งานทั่วไป แต่หน้าหลักๆนั้นยังคงมีมาคล้ายๆเดิมครับการแจ้งเตือนใช้ได้ มีเลขมุมแอพอะไรปกติครับไอคอนเป็นทรงกลมซะส่วนใหญ่ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปลงตัวกับขนาดหน้าจอของตัวเครื่องครับ

หน้าการแจ้งเตือนและ Quick Setting นั้นเป็นอีกจุดที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ ไอคอนการตั้งค่าอะไรเปลี่ยนไปทั้งหมด รวมถึงเป็นการใช้สี่เหลี่ยมด้วยครับ การปรับแสง การกดเข้าอะไรต่างๆนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดรวมถึงไอคอนรูปเฟืองก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อลากลงมาก็เป็นการตั้งค่าแบบเต็มครับ รวมถึงแบ่งหน้าจออะไรนั้นยังมีมาให้ปกติ

แป้นพิมพ์นั้นเป็นของ Google ที่คุ้นเคยกันดีครับใช้ง่ายและเสถียรดีเลยแหละ ส่วนหน่วยความจำพื้นที่ตัวเครื่อง มาให้ 256 GB นั้นเหลือใช้งานได้ 224 หลังจากหักระบบออกไป และ RAM นั้นใช้งานเหลือ 2.37 จาก 8GB ครับ

โคลนแอพก็รองรับหลายๆแอพที่นิยมกันครับ ส่วนปุ่มนำทางสามารถสลับตำแหน่งได้ และ สามารถใช้งานแบบเต็มจอได้ด้วยแบบปัดไปๆมาๆ และ การสแกนนิ้ว หรือสแกนใบหน้ามีมาให้ครบครับ การสแกนหน้าแบบ 2 มิติ แสงน้อยสแกนยากนิดหน่อยครับ แต่ถ้าแสงปกติก็ไวพอสมควรไม่ก็ใช้งานสแกนนิ้วด้านหลังได้ปกติครับผม เวลาสแกนหน้านั้นตัวกล้องจะ โผล่ขึ้นมาและลงไปแบบรวดเร็วเลยแหละถือว่าทำงานได้ดีครับ

ส่วนการโคลนแอพ อะไรทั้งหลายก็มีมาให้ครับผม รวมถึงตัว Game Space มาใหม่อันนี้น่าสนใจยังไงไปดูในหัวข้อ Gaming ได้เลย และ ยังมีผู้ช่วยอัจฉริยะมาให้ในการปัดมาด้านขวาในจอหลักจะคอยช่วยในการจัดการแจ้งเตือนอะไรต่างๆ หรือ ดูการใช้งานของเราว่าเน้นอะไรยังไงก็จะเสนอมาให้ใช้งานกันเลย อีกทั้งยังมีโหมดช่วยขับรถมาให้จะดูแลการแจ้งเตือน ขณะขับขี่ ระบบจะทำ การปิดเสียงการแจ้งเตือน ระบบจะใช้ตัวอักษรและ ปุ่มขนาดใหญ่ที่สามารถรับหรือปฏิเสธได้เท่านั้น และส่ง SMS ตอบกลับให้เองเลย

Smartbar แถบหน้าจอด้านข้างก็ รองรับการแชร์ไฟล์ที่เพิ่งเปิดขึ้นได้ เพิ่มเครื่องมือหรือแอปพลิเคชัน บันทึกหน้าจอในรูปแบบวิดีโอ และ จับภาพหน้าจอ นอกจากนี้ Smartbar ยังมีโฟลเดอร์การจัดการให้เพิ่มรายการโปรดเข้าไปเพื่อดูรายการโปรดได้สบาย Gesture นั้นยังมีมาให้ครบทั้งการวาด การใช้งานท่าทางต่างๆครับ

 

THEME

สำหรับตัวธีมนั้นก็มีมาให้ใช้งานกันครับสำหรับตัว OPPO ซึ่งแน่นอนว่าก็รองรับการเปลี่ยนค่อนข้างเยอะและมีหลากหลายแบบที่น่ารักและเท่ห์ๆครับ การเปลี่ยนแปลงนั้นหลักๆจะเปลี่ยนที่ตัวไอคอน พื้นหลังส่วนใหญ่แต่หน้าตาในแอพพวกหน้าจอการโทรเข้าออก หรือแอพติดเครื่องนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามเท่าไรครับ จะเปลี่ยนแค่หน้าจอหลักเท่านั้น

Hidden Fingerprint Unlock2.0

การสแกนนิ้วในรุ่นนี้พัฒนามารุ่น 2.0 สแกนนิ้วบนหน้าจอทำได้ไวมากๆ ใช้เทคโนโลยี เลนส์   3P เพื่อลดความผิดเพี้ยนของตัวลายนิ้วมือเวลาสแกนและเพิ่มเสงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเวลาสแกนนิ้ว ยังคงเป็นระบบ Optical นะครับแต่พัฒนาทำได้ไวขึ้นมากและยังมีการใช้ AI เข้ามาช่วยในการสแกนนิ้วเวลามีเหงื่อ เปืยกอะไรพวกนี้ก็จะดีขึ้นกว่าเดิมทำให้มันสแกนนิ้วได้หลากหลายสภาพแสงและเวลามีเหงือ ฝุ่นอะไรก็ทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆครับ ส่วนความไวที่ได้ลองนั้นทำได้ดีเลยนะแตะแล้วมาเลยในหลายๆครั้งสบายครับแม่นยำและไว้ใจได้ และมีเปลี่ยน Effect แสงได้ด้วย

SCREEN

OPPO Reno 10x Zoom นั้นจะมาพร้อมหน้าจอแบบ AMOLED ขนาด 6.6 นิ้ว ด้วยความละเอียด 2340×1080 พิกเซล หรือ FHD+ ใช้อัตราส่วน 19.5:9 เนื่องจากออกแบบ แบบไร้ติ่งไร้รอยบากและขอบที่บางมากๆทำให้อัตราส่วนต่อตัวเครื่องหน้าจอนั้นทำได้ดีมากๆที่ 93.1% และเรื่องคุณภาพรองรับขอบเขตสี DCI-P3 และ HDR10+ ด้วยครับ ส่วนเรื่องกระจกกันรอยใช้ตัว Gorilla Glass 6 ตัวล่าสุดเลย และมีฟิล์มกันรอยติดมาให้ หน้าจอไร้ขอบแบบนี้ก็ฝัง เซนเซอร์สแกนนิ้วไว้บนหน้าจอ และ เซนเซอร์วัดแสงอะไรทั้งหลายก็ฝังไว้ด้วยเช่นกันครับ หน้าจอคุณภาพรวมๆนั้นทำได้ดีนะ คือสู้แสงแดดได้ดีแล้วยังทำเรื่องของความแม่นยำสีความตรงของสีได้ดี รวมถึงการสัมผัสนั้นก็ทำได้ติดนิ้วและลื่นพอๆกับเรือธงตัวอื่นๆของ OPPO เลยแหละ ติดนิ้วและไวพอสมควรครับในจุดนี้

เมื่อมองด้านข้างนั้นจะค่อนข้างรู้สึกว่าไม่ค่อยดรอปเท่าไรด้วยจอแบบ AMOLED นั้นทำได้ดีอยู่แล้วในจุดนี้แสงไม่ดรอปเยอะและสีดำเข้มนั้น ทำได้ดีสนิท เมื่อมองมุมมองต่างๆนั้นทำได้ดี เวลาใช้งานกลางแจ้งต่างๆดูหนังอะไรนั้นทำได้ดีเหมือนกันแม้จะวางเครื่องไว้ครับจุดนี้ทำให้เวลาดูหนังอะไรสบายขึ้น และการออกแบบเต็มตาเต็มจอแบบนี้ทำให้เวลาซูมกดเต็มจอบน Youtube นั้นไม่มีติ่งหน้าจออะไรมาเกะกะเลยประสบการณ์ดูหนังแบบเดียวกับพวก FindX ยังคงมีมาให้สัมผัสในรุ่นนี้ ถือว่ารวมๆเป็นหน้าจอที่ทำได้ดีสมกับเรือธงและหน้าจอเรียบทำให้การใช้งานค่อนข้างดีมากๆ

Off-Screen Clock จะทำหน้าที่คล้ายๆ Always On Display ที่จะโชว์เวลาและแจ้งเตือนเวลาเราไม่ได้ใช้งานมือถือซึ่งสามารถตั้งเวลาทำงานได้ว่าให้ติดตอนไหนบ้าง แต่ไม่สามารถปรับแต่งอะไรได้เท่าไรครับ 

SOUND

เรื่องของเสียงเพลงกันในรุ่นนี้จะไม่มีรูหูฟัง 3.5มม. มาให้ซึ่งยังดีที่รุ่นนี้มีหูฟังแบบ Type-C มาให้ในกล่องแต่จะเห็นว่าไม่มีตัวแปลงอะไรมาให้ครับสำหรับคนที่ต้องการใช้หูฟัง 3.5มม. นั้นอาจจะต้องหาซื้อเอาเอง ในเรื่องของเสียงกันก่อนเลยครับตัวนี้เสียงที่ได้ออกมานั้นเนื่องจากตัวแปลงไม่มีมาให้นะครับในรอบนี้ จึงขอพูดในเรื่องของเสียงจากทางหูฟังที่เป็น Type-C เลยดีกว่า และในรอบนี้เสียงนั้นจะมีการปรับแต่งมาให้แบบ Dolby Atmos นั้นเองทำให้เสียงที่ได้นั้นอาจจะฟังรู้สึกมีกำลังมากขึ้นและ สามารถปรับแต่งได้ดีกว่าแบบเดิมค่อนข้างเยอะทั้ง EQ และ โหมดสำเร็จรูปครับ แน่นอนว่าการปรับพวกนี้จะเป็นการปรุงแต่งจาก Software มากกว่าถ้าใครที่เน้นคุณภาพมากๆอาจจะไม่ได้ดีมากนัก

และมาดูที่หูฟังแถมกันบ้างหน้าตาดูดีใช้ได้เลยแหละเป็นหูฟังที่เปลี่ยนจากรุ่นก่อนๆแบบชัดเจน รุ่นนี้จะไม่ใช่หูฟังสีขาวแบบที่เราเจอใน FindX หรือตัว R17 Pro แล้วมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่และหน้าตาดูดีขึ้นเยอะมากและส่วนตัวค่อนข้างชอบกว่าแบบเดิมครับ หูฟังเป็นพอร์ตแบบ Type-C แล้วสามารถเสียบใช้งานได้เลย ครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็นโทนสีดำทั้งหมดแล้วและมีการเล่นขอบสีตรงตัวหูฟังพร้อมกับลวดลาย จะคล้ายๆกับตัวหูฟัง OPPO O-Fresh หรืออาจจะเป็นตัวเดียวกันเลยนั้นแหละทำได้ดีนะรูปทรงสวยและไม่เหมือนค่ายอื่นๆแล้ว มาพร้อมปุ่มควบคุม 1 ปุ่มครับ ส่วนเรื่องเสียงของตัวหูฟังนี้ จะให้ออกมานั้น ถือว่าทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆเยอะมากแน่นอนว่ามันเป็นแบบ InEar นั้นทำให้ควบคุมเสียงได้ดีกว่าเดิม เสียงที่ได้จากตัวเครื่องนั้น ออกมามีเบสมาดีมากเสียงย่านต่ำมาแบบนุ่มๆ และ เสียงมิติทำได้ค่อนข้างดี เวทีเสียงนั้นอาจจะไม่ได้กว้างมากครับ แต่ที่ชอบคือเสียงรวมๆนั้นให้ออกมาได้ดี นุ่มและไม่แหลมจัดเกินไป ถือว่าเป็นหูแถมที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และ เสียงดีเลยแหละจากทาง OPPO  และใส่ได้สบายดีเบาไม่ปวดหู

SPEAKER  Dolby Atmos 

ลำโพงในรุ่นนี้มีการใช้งานลำโพงคู่แล้วเป็นรุ่นแรกๆของทางค่ายเลยก็ว่าได้มาพร้อมกับลำโพงที่ออกทั้งบนและล่าง รองรับการทำงาน Dolby Atmos เสียงรอบทิศทางเวลาดูหนังนั้นสบายๆ คุณภาพเสียงที่ได้นั้นต้องบอกว่าทำได้ดีกว่าทาง OPPO ทุกรุ่นที่เราเคยทดสอบกันมาและมาพร้อมลำโพงคู่ที่เวลาเล่นเกมอะไรต่างๆนั้นทำได้ดีมากๆในเรื่องของมิติเสียง และแยกเสียงซ้ายขวา แต่เมื่อเทียบกับเรือธงรุ่นอื่นๆอาจจะไม่ได้ดังที่สุดครับ แต่ก็เป็นการพัฒนาที่ดีมาก

GPS Dual-frequency GPS

ในส่วนของการนำทางตัวนี้แอดมินทดสอบนำทางจริงๆ และ ใช้แอพทดสอบเช่นเคยครับตัวนี้จากที่ทดสอบจริงๆ นั้นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเรื่อง Dual Frequency L1+L5   นั้นทำได้ดีนะ เมื่อเทียบกับเรือธงก่อนหน้านี้และรุ่นอื่นๆเช่น R17 Pro จะพบว่านำทางได้ดีขึ้นเยอะมาก และการใช้ CPU ตัวใหม่ๆก็มีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบนำทางพวกนี้ได้แม่นยำมากขึ้นเยอะมาก ส่วนในการใช้แอพทดสอบนั้นก็จับได้ทั้งหมด 51 ดวง  จากทั้งหมด  62 ดวงครับทั้งบนรถ และ ทางเดินเท้าปกติ กลางแจ้งนะครับ และ ในที่ร่มนั้นทำได้ 16 ดวง จาก 44 ดวงนะครับ  ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่นำทางได้ดีและค่อนข้างแม่นยำและไวต่อการใช้งานเยอะมากๆ อันนี้สบายๆไม่มีข้อกังวลเลยแหละ

BATTERY  VOOC 3.0 

แบตเตอร์รี่ รุ่นนี้มาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ มากถึง 4,065 mAh รองรับชาร์จไว VOOC 3.0 ซึ่งไม่ใช่  SuperVOOC แบบตัว OPPO R17 Pro นะครับ แน่นอนว่าความเร็วนั้นอาจจะสู้ไม่ได้แน่นอน แต่ได้เรื่องความจุแบตที่มากขึ้นมาแทน แต่ก็มีใช้อัลกอริธึม VFC แบบใหม่ ลดเวลาการชาร์จแบบ trickle-charging เหลือเพียงครึ่งเดียวของเวลาในการชาร์จของรุ่นก่อนหน้านั้นเองทำให้มันก็ไวพอสมควรและใช้งานกับ USB-C ด้วย จากที่ได้ลองชาร์จใช้งานนั้นจาก 0-100% นั้นสามารถทำให้เต็มได้ที่ 1 ชั่วโมง 22  นาที และ ครึ่งชั่วโมงนั้นแบตขึ้นมามากถึง 46 % เลยครับ และ แบตใช้งานได้โคตรอึดเลยแหละ

มาดูเรื่องความอึดของแบตกันบ้าง รอบนี้แอดมินใช้งาน 14 ชั่วโมง กลับบ้านมา ตี 1 แบตเหลือ 39% นำทาง เปิดกล้องถ่ายวีดีโอเยอะมาก แบตรุ่นนี้ตอบโจทย์ในเรื่องของความอึดได้ดีครับ ทั้งวันได้สบายแบบไม่ต้องกังวลแม้จะมาพร้อมกับ CPU Snapdragon 855 แต่ด้วยการจัดการพลังงาน และการใช้หน้าจอ FHD นั้นทำให้ประหยัดแบตและอึดพอสมควรครับดีกว่าเรือธงหลายๆตัวที่ใช้ Snapdragon 855 ด้วยกันแบบรู้สึกได้เลยแหละ อึดมากจริงๆ

GAMING 

การเล่นเกมตัวนี้มาพร้อมกับ Game space เป็นแอปพลิเคชันที่ออกแบบโดย OPPO เพื่อความสะดวกในการจัดการเกมในโทรศัพท์มือถือ โดยการใช้ Game Space ผู้ใช้จะสามารถจัดการเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีทั้งหมด 3 โหมดด้วยกันคือ โหมดประสิทธิภาพสูง โหมดสมดุล และโหมดการใช้พลังงานต่ำ และสามารถดูสถานะ Wifi ความนิ่งอะไรได้ รวมถึงล็อคความสว่างอะไรพวกนี้ได้ครับ

เมื่อเราเข้าเกมไปแล้วนั้นและปักซ้ายออกมานั้นจะทำให้มีฟีเจอร์ที่จะช่วยได้คือการรองรับการใช้งานทางลัดเช่น การปิดการแจ้งเตือน การแจ้งเตือนข้อความ การทำงานหลายอย่างได้อย่างรวดเร็ว การจับภาพหน้าจอและการบันทึกหน้าจอในรูปแบบวิดีโอ ถือว่าสะดวกและใช้งานได้ดีครับจากที่ได้ลองมาซักพักในหลายๆเกมที่ลอง ส่วนการปรับภาพเกมนั้นได้สูงสุดตามภาพเลยในส่วนของ PUBG เล่นได้ลื่นมาๆสมกับ CPU Snapdragon 855 เลยแหละ ไปรับชมในส่วนของการทดสอบนั้นแบบ Video ทาง Youtube ได้เลย

CAMERA 48MP (IMX 586) ซูมโหด 60X รอบรับมุมกว้าง 

ประกอบด้วยกล้อง 3 ตัว ความละเอียด  48MP (กล้องหลัก) + 8MP (wide angle) + 13MP(telephoto)
เซนเซอร์ Sony IMX586 ขนาด 1/2 นิ้ว, รูรับแสงขนาด F1.7  ส่วนกล้องมุมกว้างนั้นใช้งาน SONY IMX319 wide Angle  มีความละเอียด 8MP ซึ่งประกอบด้วย ขนาดเซนเซอร์ 1/3.13, ขนาดรูรับแสง f/2.2และ ขนาดมุมกว้างสุด 120 องศา ไม่มี OIS ในเลนส์นี้นะครับ และ สุดท้ายนั้นเป็น 13MP  ขนาดเซนเซอร์1/3.44 และ ขนาดรูรับแสง f/3.0ซึ่งเหมาะกับการถ่ายภาพระยะไกล รองรับกันสั่น OIS และ มาพร้อมเลนส์แบบ Periscope จะเป็นสี่เหลี่ยมนั้นเอง ระยะความยาวโฟกัสครอบคลุมตั้งแต่ 16 – 160 มิลลิเมตร ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจและซูมสูงสุด 60 เท่าแบบดิจิตอลครับ

ส่วนฟีเจอร์กล้องหลังนั้นมาครบ รองรับทั้งโหมด  Ultra Night Mode 2.0  รองรับ face protection ทำให้หน้าคนไม่ได้เวอร์หรือซีดจนเกินไปแบบฉากหลัง และ มาพร้อม Dazzle Color Mode 2.0 , Artistic Portrait , AI beauty เป็นต้นครับ จากที่ได้ลองนั้นกล้องหลังต้องบอกว่าคุณภาพโดยรวมนั้นทำได้ดีอันดับต้นๆของเรือธงและฟีเจอร์การถ่าย Night Mode นั้นยังคงทำได้ดีเหมือนเดิม และ เพิ่มการซูมเข้ามาทำให้มันน่าสนใจอย่างมาก ในการซูม 10X นั้นยังทำได้ดีแต่อาจจะไม่คมมากเท่าไรถ้าเราซูมไปถึง 60X ซึ่งเอาจริงๆระยะที่แนะนำก็ 10X กำลังดีในการหวังผลใช้งานและคุณภาพที่ใช้งานได้นั้นเองครับ ส่วนการกันสั่น Dual OIS ทำได้ดีเลยในการถ่ายกลางคืนรวมถึงระบบโฟกัสนั้นก็ทำได้ดีคือไวในช่วงกลางวันและแสงน้อยไม่ได้แตกต่างกันและไม่วืดวาดครับ รวมๆทำได้ดีมาก

PORTRAIT

ULTRA NIGHT MODE

FRONT CAMERA  PIVOT-RISING 

กล้องหน้ามาพร้อมกับการขึ้นลงแบบใหม่ที่เรียกว่า PIVOT-RISING เป็นการขึ้นลงแบบเอียงๆและคล้ายๆครีบฉลามนั้นเองถือว่าเป็นเจ้าแรกที่ทำแนวนี้ออกมาน่าจะช่วยเรื่องความแข็งแรง และ ความไวในการทำงานรวมถึงระบบที่ดีกว่าแบบทั่วไปด้วยนั้นเอง ระบบนี้ จะเลื่อนขึ้นอัตโนมัติในเวลาเพียง 0.8s ด้วยมุมสูงสุด 11° ทำงานได้มากกว่า 200,000ครั้ง และ ยังมาพร้อมระบบเก็บอัตโนมัติเวลาทำตกด้วย มาพร้อมกับกล้องหน้า 16MP พร้อมรูรับแสง F2.0 รองรับระบบ AI beauty ,  Portrait อะไรเหมือนเดิมครับ กล้องหน้าค่ายนี้ยังคงไว้ใจได้และถ่ายออกมาดูดีเหมือนเดิมใครๆถ่ายก็ดูดีสมชื่อ OPPO ครับสาวๆน่าจะชอบกัน สีค่อนข้างตรงและมีอมชมพูดเล็กน้อยและละลายหลังนั้นทำได้ดีและสวยเหมือนกันนะ ส่วนเรื่องความไวในการใช้งานนั้นก็ทำได้ไวไม่แตกต่างกับกล้องปกติเท่าไรครับ

VIDEO – 4K 60FPS 

Reno 10x Zoom รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 4K ได้สูงสุด 60 fps OIS และ EIS นอกจากนี้ Reno 10x Zoom ยังมีเทคโนโลยี Audio Focus ซึ่งใช้ ไมโครโฟนสามตัวจากโทรศัพท์ เพื่อบันทึกเสียงรอบข้างได้ 360° เลยด้วย ถือว่าเป็นแบรนด์จีนไม่กี่แบรนด์ที่ทำวีดีโอออกมารองรับ 4K 60FPS และยังมีระบบกันสั่นเข้าให้ด้วยครับ และระบบบันทึกเสียงนั้นทำได้รองรับ 360 องศาซึ่งระบบไมค์ของค่ายนี้ก็มีข่าวว่าจะพัฒนาและคล้ายๆกับระบบ OZO Audio ที่ทำได้ดีมากๆด้วยเช่นกันถือว่าเป็นอีกจุดที่น่าสนใจในการบันทึกเสียงเพราะหลายๆค่ายจะมาตายที่จุดนี้ครับ แต่ของ RENO นั้นทำได้ดีกว่าที่คิดทั้งเรื่องของคุณภาพภาพและเสียง

OPPO RENO 10X ZOOM 

” ซูมโหด 60 เท่า พร้อมความแรงระดับเรือธง จัดเต็มในทุกๆด้าน ลงตัวขึ้น “

เป็นเรือธงรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวมาสดๆร้อนและแน่นอนมันทำออกมาได้ค่อนข้างดีในหลายๆเรื่องทั้งเรื่องของ กล้องหลัง กล้องหน้าการออกแบบ ที่ไร้ติ่งหน้าจอ และเรื่องของลำโพงเสียงต่างๆนั้นต่างพัฒนาขึ้นแบบชัดเจน อีกทั้งทางด้านสเปคที่จัดเต็ม Snapdragon 855  RAM 8 GB Storage 256 GB เรียกได้ว่าจัดหนักสำหรับเรือธง ราคาหลายๆคนอาจจะมองว่ามันสูงไปไหมแต่อย่าลืมว่าในรุ่นนี้ได้ยัดเทคโนโลยีหลายๆอย่างเข้ามาใหม่ๆ โดยเฉพาะกล้องหลัง แบบ Periscope ด้วยนั้นเองที่ใส่เข้ามาทำให้ซูมได้แบบไม่เสียรายละเอียดของภาพ ถือว่ารวมๆนั้นน่าสนใจสำหรับใครที่เล่นเรือธงและเน้นประสิทธิภาพ แต่ก็แอบเสียดายบางจุด ทั้งเรื่องกันน้ำ ชาร์จไร้สายต่างๆนั้นถ้ามีน่าจะครบๆเลย และการอัปเดตที่อาจจะเป็นคำถามสำหรับหลายๆคน แต่ทั้งนี้ถ้าหากใครที่ชอบแบรนด์นี้อยู่แล้วก็อาจจะตัดสินใจได้ไม่ยากครับ

ข้อดี

  • ดีไซน์การออกแบบ และวัสดุเป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร
  • งานประกอบทำได้ดีเนียนเวลาสัมผัส
  • หน้าจอเต็มตาไร้ติ่งหน้าจอ พร้อมคุณภาพที่ทำได้ดี
  • ระบบเสียงลำโพงคู่ มีมิติขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ
  • หูฟังที่แถมเสียงดี และ ออกแบบทำได้ดีกว่าเดิม
  • Snapdragon 855 แรงและระบายความร้อนได้ค่อนข้างดี
  • RAM 8 GB STORAGE 256GB  จัดเต็มพอสมควร
  • Pivot-Rising ซ่อนกล้องด้านหน้า แปลกใหม่ดี
  • กล้องหน้าและหลังทำคุณภาพได้ดีเหมือนเดิม
  • เทคโนโลยีระบบการซูม 10X  ทำได้ดีและคมชัด

ข้อสังเกต 

  • ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid-Slot
  • ไม่มีกันน้ำกันฝุ่น IP Rarting
  • ไม่รองรับชาร์จไร้สาย
  • ตัวเครื่องหนาและหนักพอสมควร
  • ไม่มีรู 3.5 มม. แล้ว มีในตัว Reno ปกติแทน
  • ไม่มีตัวแปลง 3.5 มม. มาให้

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ