สวัสดีครับเพื่อนๆชาว Techhangout ทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับบทความรีวิว ก่อนหน้านี้เราได้มีการรีวิวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ของทาง OPPO ไปกับในรุ่น OPPO RENO 10x Zoom หลังจากปล่อยรีวิวไปก็มีกระเเสตอบรับดีเลยทีเดียวในอาทิตย์ที่เเล้ว แน่นอนว่าในบทความนี้แอดจะมารีวิวสมาร์ทโฟนของเเบรนด์ OPPO อีกรุ่น เป็นสมาร์ทโฟนในตระกูล Reno Series กับในรุ่น OPPO Reno รุ่นธรรมดา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันกับรุ่นพี่เลยทีเดียว มีราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่า โดยมีการตัดเรื่องของการซูม 10 เท่าแบบ Hybrid Zoom ออกไปจากรุ่นก่อน เเต่ก็ยังคงมาพร้อมกับดีไซน์ที่พรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่เเละ มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 16,990 บาท ซึ่งถูกกว่ารุ่น Reno 10x Zoom ถึง 12,000 บาท พร้อมมาด้วยกล้องหน้าแบบ Pivot Rising Camera ที่สามารถใช้งานเลื่อนขึ้น-ลง ถึง 200,000 ครั้งเลยทีเดียว เอาเป็นว่าเดียวเรามาเริ่มอ่านรีวิวรุ่นนี้กันดีกว่าว่าในรุ่นนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
สำหรับรุ่น OPPO Reno เป็นรุ่นกลางที่ได้มีการตัดในเรื่องของการซูม 10 เท่าแบบ Hybrid Zoom ออกไปจากรุ่นเดิม เเละได้มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของ CPU จากรุ่นก่อน มาเป็นชิปเซ็ตระดับกลางเเทนอย่าง ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 ซึ่งถือว่าเป็นชิปเซ็ตระดับกลางที่มีประสิทธิภาพที่เร็วเเละเเรงเลยทีเดียว ส่วนเรื่องดีไซน์นั้นก็ยังมาพร้อมกับการออกแบบหน้าจอแบบไม่มีติ่งแบบ Panoramic full-screen ขนาด 6.4 นิ้ว ที่คมชัดระดับ Full HD+ หน้าจอเต็มตา ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6 และดีไซน์กล้องหน้าแบบ Pivot Rising ขึ้นมาแบบครีบฉลาม แปลกใหม่ และ จุดเด่นที่ยังคงมีมาเหมือนเดิมก็คือ VOOC Flash Charge 3.0 พร้อมเเบตเตอรี่ความจุ 3,765 mAh ซึ่งต้องบอกเลยว่าชาร์จไวมากๆครับ และเรื่องสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ Hidden Fingerprint Unlock 2.0 ก็ยังคงมีอยู่นะไม่ได้ถูกตัดออก
OPPO RENO เปิดตัวในไทยมาในสเปค RAM 6 GB STORAGE 256 GB มาพร้อมกับ 2 สีหลักๆ Ocean Green , JET BLACK เปิดราคาในไทยที่ 16,990 บาท
UNBOX
เรามาเริ่มแกะกล่องกันดีกว่ากล่องที่ใส่รุ่นนี้ยังคงเป็นเหมือนกับรุ่นก่อนมาในโทนสีขาว ออกแบบนั้นจะคล้ายๆกับเป็นรูปด้านหลังของเครื่อง Reno ไว้ ทั้งตำแหน่งกล้องต่างๆ เส้นตรงกลาง พร้อมเล่นกับแสง เป็นสีรุ้งสวยงามกล่องดูยาวๆครับแปลกตาดีเหมือนกัน แต่ดูหรูเอาเรื่อง
- ตัวเครื่อง OPPO Reno
- เคส TPU แบบใสดำ
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้จากโรงงาน
- หูฟัง หูฟังแบบแจ็ค 3.5 มิลลิเมตร
- สายชาร์จ USB – C
- Adaptor ชาร์จไฟ VOOC 3.0
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
เคสที่ให้มาส่วนตัวแอดมินรู้สึกชอบงานอาจจะไม่ได้พรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่ เเต่เป็นเคส TPU ใส ขอดีคือตัวเคสค่อนข้างนิ่ม เเละ สามารถโชว์ตัวเครื่องที่สวยงามของ OPPO reno ได้ เคสมีสีดำ ซึ่งไม่ต้องกลัวเลยว่าเวลาที่ใช้ จะสกปรกง่าย เคสจะเหลืองเร็ว ตัวเคสคุมตัวเครื่องเกือบทั้งหมด เหลือไว้เพียงเเค่ด้านบนที่เว้นเอาไว้สำหรับเป็นพื้นที่ให้กล้องออกเลื่อนออกมาครับ
DESIGN
งานออกเเบบถือว่าทำออกมาได้สวยงามเลยทีเดียวครับ วัสดุงานประกอบพรีเมียมไม่เเพ้รุ่นพี่ ด้านหลังมีการเคลือบผิวสัมผัสเหลือบแสงแบบด้าน การวางตำแหน่งกล้องส่วนตัวแอดว่าดูดีมากๆ สำหรับตัวเครื่องที่นำมารีวิวในครั้งนี้เป็น สี Ocean Green สีเขียว มีน้ำหนักเบาอยู่ที่ 185 กรัม เบากว่ารุ่นก่อนนิดหน่อย โดยรวมเรื่องดีไซน์โดยรวม OK เลยครับ สีตัวเครื่องแอบสวยเวลาที่สะท้อนกับเเสง เเละตัวเครื่องเวลาจับดูไม่ใหญ่จนเกินไปจับใช้งานมือเดียวได้ถนัดมือ
หน้าจอรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเต็มตา AMOLED Panoramic Screen 6.4 นิ้ว แต่ยังเป็น Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : 387 ppi) อัตราส่วน 19.5:9 ( 402 ppi ) รองรับการแสดงผลในขอบเขตสีตามมาตรฐาน DCI-P3 และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 6 ด้านขอบบนหน้าจอนั้นไม่มีอะไรเลย กล้องหน้าเซนเซอร์ ลำโพงได้ถูกซ่อนไปทั้งหมด ขอบด้านบนนั้นจะมีการเว้นช่องลำโพงสำหรับคุยไว้ส่งผ่านมาจากกล้องหน้าที่เลื่อนขึ้นลงได้ และเซนเซอร์ ฝังใต้หน้าจอทั้งหมด
เมื่อเปิดใช้งานกล้องหน้าขึ้นมานั้นจะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า 16 MP f/2.0 พร้อมฟีเจอร์ AI Beautification และ ลำโพงสนทนา มีโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน รวมถึงติดตั้ง Proximity Sensor ที่ติดตั้งไว้ในส่วนตรงนี้ด้วยครับ การทำงานของกล้องหน้านั้นจะเอียงแบบครีบฉลาม เรียกว่ากล้องแบบ Pivot Rising Camera เลื่อนใช้งานได้ไวและดูแข็งแรง
ขอบด้านล่างทำออกมาได้บางหลงตัวสุดๆ ขอบหน้าจอส่วนล่างนั้นจะออกแบบได้ยากมากๆที่จะทำได้บางแต่รุ่นนี้ก็ถือว่าบางกว่ารุ่นอื่นๆอยู่เหมือนกัน เป็นแบบเต็มหน้าจอ หรือจะเป็นปุ่มปกติก็สามารถเลือกได้เช่นกัน
ถัดมาชมตัวเครื่องด้านบนนั้นจะเห็นว่าเป็นส่วนที่กล้องหน้านั้นจะเลื่อนขึ้นมา และ มีรูไมค์สำหรับตัดเสียงก็ยังคงอยู่เหมือนกับรุ่นพี่
ขอบเครื่องด้านขวานั้นจะมีปุ่ม Power อยู่ ยังคงมีขีดสีเขียวเข้ามาในส่วนนี้ทำให้มองเห็นได้ชัดแบบเดียวกับรุ่นพี่ที่ออกมา รองรับการทำงานเรียกเป็น Google Assistant อีกด้วย
ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียง ตัวเครื่องด้านข้างค่อนข้างบางกว่ารุ่นก่อน เเละมีช่องใส่ซิม เป็นแบบ Dual Slot สามารถใส่ซิมการ์ดแบบ nano-SIM ได้ 2 ซิม รองรับการใช้งาน Dual 4G LTE เป็นแบบ Standby ไม่สามารถใส่ microSD ได้
ขอบด้านล่างเครื่อง ส่วนนี้จะเป็นที่อยู่ของช่อง Type-C และ รูไมค์ รวมถึง ลำโพงหลักของตัวเครื่องในด้านนี้ ซึ่งในรุ่นนี้จะไม่ใช้คู่เหมือนรุ่นก่อน เเละ มีรูเสียงหูฟังแบบ 3.5 มม
ด้านหลังเครื่องกันบ้าง ใช้การออกแบบ แนวคิดแบบ Symmetry Design คือการออกแบบโดยคำนึงถึงความงามอย่างสมมาตร และ สมดุล แบบไร้รอยต่อ การออกแบบฝาหลังนั้นสวยงามมีการเล่นไล่สีสวยงามจะเป็นวัสดุแบบด้านสวยงามมีการเล่นสี เหลื่อมๆเล็กน้อยถ้าโดนแสงครับ เรียบหรูดูดี แอบแฝงด้วยเเข็งเเรง พร้อมกับเขียนชื่อแบรนด์และ Designed by OPPO ไว้ด้วยครับ
ตรงส่วนของกล้องนั้นมาพร้อมกับกล้อง 2 ตัวในแนวตั้งที่ตรงกลาง ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และกล้องรองซึ่งเป็นเซ็นเซอร์วัดความลึก ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 MP f2.2 ส่วนไฟแฟลช LED จะอยู่ที่ตรง Pivot Rising Camera และถ้ามองดีๆจะเห็นว่ามี ปุ่มกลมๆนั้นจะเรียกว่า O-Dot ซึ่งทำมาจากเซรามิก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ปกป้องเลนส์กล้องหลังโดยยกตัวเครื่องด้านหลังให้สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ไม่ให้ฝาหลังนั้นสัมผัสกับพื้นทำให้ไม่เป็นรอยสำหรับบางคนที่ไม่ชอบใส่เคส
O-DOT ป้องกันฝาหลังส่วนบนได้แบบล้ำๆ
จุดเซรามิก O-Dot ที่เห็นเม็ดๆกลมๆนั้นไม่ใช่ปุ่มพิเศษอะไร แต่มันคือความล้ำของการออกแบบที่รุ่นนี้ฝาหลังนั้นเรียบไปกับตัวกล้องง่ายๆเหมือนกับเอากล้องไปซ่อนไว้ในฝาหลังแน่นอนว่าทำแบบนี้เลนส์เป็นรอยง่ายๆแน่ จึงทำให้มีการออกแบบที่ใส่ใจเข้ามาของจุดนี้ คือการใช้ปุ่มกลมๆที่จะทำหน้าที่ยกตัวเครื่องส่วนบนขึ้นมาและทำให้ไม่เป็นรอยในส่วนเลนส์ด้านบนเลย คือออกแบบได้ว้าวมากและใช้งานจริงจากที่วางมันก็ช่วยได้จริงๆครับดูจากภาพข้างบนได้เลย
SPEC
- ระบบ Android 9 ครอบด้วย ColorOS 6
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด FullHD+
- CPU Snapdragon 710 (10 nm) + GPU Adreno 616
- RAM 6 GB STORAGE 256GB
- กล้องหลัง 2 ตัว 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และกล้องรองซึ่งเป็นเซ็นเซอร์วัดความลึก ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 MP f2.2 , ระบบโฟกัส PDAF
- กล้องหน้า Rivot Rising ความละเอียด 16MP f/2.0
- Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac
- Bluetooth 5.0, USB-C , aptX HD
- รูหูฟัง 3.5 มม.
- สแกนนิ้วบนหน้าจอ
- แบตเตอรี่ 3,765 mAh รองรับชาร์จไว VOOC 3.0
- มาพร้อม 2 สี Ocean Green, Jet Black
- ขนาด 156.6 มม.74.3 มม. 9 มม. 185 กรัม
PERFORMANCE
ในเรื่องของประสิทธิภาพนั้นมาพร้อมกับ CPU ระดับกลางอย่าง Snapdragon 710 และ ใช้ RAM 6 GB LPDDR4x ร่วมกับ Storage 256GB UFS 2.0 ในส่วนของคะแนนนั้น Antutu กันก่อนเลยทำไปได้ 156018คะแนน และส่วนของ GeekBench นั้นทำไปได้ คะแนน 1520 และ 5909 และ หน่วยความจำไม่พลาดกับ UFS 2.1 แต่เรื่องความปลอดภัย ยังได้ DRM L1 นะครับทำให้ดู Netflix แบบ HD ได้
SYSTEM UI
หน้าตาระบบรุ่นนี้ Colour OS 6 ร่วมกับ Android 9 การใช้งานทั่วไป แต่หน้าหลักๆนั้นยังคงมีมาคล้ายๆเดิมครับการแจ้งเตือนใช้ได้ มีเลขมุมแอพอะไรปกติครับไอคอนเป็น ทรงกลมซะส่วนใหญ่ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปลงตัวกับขนาดหน้าจอของตัวเครื่องครับ
เมื่อปัดนิ้วจากด้านบนลงมาจะเจอ แถบเมนูลัด หน้าตาสวยงามและดูสบายตาขึ้น โดยมีทางลัดสำหรับการตั้งค่าที่เราใข้งานการต่างๆเป็นประจำอย่าง เช่น Wi-Fi, ไฟฉาย , Bluetooth, โหมดเครื่องบิน , NFC , ตัดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ , ปรับความสว่างหน้าจอ เป็นต้น ส่วนด้านล่างจะแสดงแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันต่างๆ หากปัดนิ้วลงมาอีกครั้งจะเป็นการขยายเมนู
แป้นพิมพ์นั้นเป็นของ Google ที่คุ้นเคยกันดีครับใช้ง่ายและเสถียร ส่วนหน่วยความจำพื้นที่ตัวเครื่อง มาให้ 256 GB นั้นเหลือใช้งานได้ 224 หลังจากหักระบบออกไป และ RAM นั้นใช้งานเหลือ 2.37 จาก 6GB ครับ
โคลนแอพก็รองรับหลายๆแอพที่นิยมกันครับ ส่วนปุ่มนำทางสามารถสลับตำแหน่งได้ และ สามารถใช้งานแบบเต็มจอได้ด้วยแบบปัดไปๆมาๆ และ การสแกนนิ้ว หรือสแกนใบหน้ามีมาให้ครบครับ การสแกนหน้าแบบ 2 มิติ แสงน้อยสแกนยากนิดหน่อยครับ แต่ถ้าแสงปกติก็ไวพอสมควรไม่ก็ใช้งานสแกนนิ้วด้านหลังได้ปกติครับผม เวลาสแกนหน้านั้นตัวกล้องจะ โผล่ขึ้นมาและลงไปแบบรวดเร็วเลยแหละถือว่าทำงานได้ดีครับ
ส่วนการโคลนแอพ อะไรทั้งหลายก็มีมาให้ครับผม รวมถึงตัว Game Space มาใหม่อันนี้น่าสนใจยังไงไปดูในหัวข้อ Gaming ได้เลย และ ยังมีผู้ช่วยอัจฉริยะมาให้ในการปัดมาด้านขวาในจอหลักจะคอยช่วยในการจัดการแจ้งเตือนอะไรต่างๆ หรือ ดูการใช้งานของเราว่าเน้นอะไรยังไงก็จะเสนอมาให้ใช้งานกันเลย อีกทั้งยังมีโหมดช่วยขับรถมาให้จะดูแลการแจ้งเตือน ขณะขับขี่ ระบบจะทำ การปิดเสียงการแจ้งเตือน ระบบจะใช้ตัวอักษรและ ปุ่มขนาดใหญ่ที่สามารถรับหรือปฏิเสธได้เท่านั้น และส่ง SMS ตอบกลับให้เองเลย
Smartbar แถบหน้าจอด้านข้างก็ รองรับการแชร์ไฟล์ที่เพิ่งเปิดขึ้นได้ เพิ่มเครื่องมือหรือแอปพลิเคชัน บันทึกหน้าจอในรูปแบบวิดีโอ และ จับภาพหน้าจอ นอกจากนี้ Smartbar ยังมีโฟลเดอร์การจัดการให้เพิ่มรายการโปรดเข้าไปเพื่อดูรายการโปรดได้สบาย Gesture นั้นยังมีมาให้ครบทั้งการวาด การใช้งานท่าทางต่างๆครับ
THEME
สำหรับตัวธีมนั้นก็มีมาให้ใช้งานกันครับสำหรับตัว OPPO ซึ่งแน่นอนว่าก็รองรับการเปลี่ยนค่อนข้างเยอะและมีหลากหลายแบบที่น่ารักและเท่ห์ๆครับ การเปลี่ยนแปลงนั้นหลักๆจะเปลี่ยนที่ตัวไอคอน พื้นหลังส่วนใหญ่แต่หน้าตาในแอพพวกหน้าจอการโทรเข้าออก หรือแอพติดเครื่องนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามเท่าไรครับ จะเปลี่ยนแค่หน้าจอหลักเท่านั้น
HIDDEN FINGERPRINT UNLOCK2.0
เรื่องการสแกนนิ้วใบหน้าจอในรุ่นนี้ทาง OPPO ยังไม่ได้ตัดออกมีเหมือนในรุ่น Reno 10x Zoom การสแกนนิ้วบนหน้าจอทำออกมาได้ดีเเละไวมากๆ ยังคงเป็นระบบ Optical การใช้งานทั่วไปในส่วนนี้ถือว่าดี เลย มือมีเหงือหรือเปียกน้ำก็ยังสามารถสเเกนได้ บอกเลยว่าเเตะเบาๆก็ปลดล็อคให้เเล้วสำหรับหน้าจอ
SCREEN
OPPO Reno นั้นจะมาพร้อมหน้าจอแบบ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ด้วยความละเอียด 2340×1080 พิกเซล หรือ FHD+ ใช้อัตราส่วน 19.5:9 เนื่องจากออกแบบ แบบไร้ติ่งไร้รอยบากและขอบที่บางมากๆทำให้อัตราส่วนต่อตัวเครื่องหน้าจอนั้นทำได้ดีมากๆที่ 93.1% และเรื่องคุณภาพรองรับขอบเขตสี DCI-P3 และรุ่นนี้จะไม่รองรับ HDR10+ เหมือนกับรุ่นพี่ มีการครอบทับด้วยกระจกกันรอยใช้ตัว Gorilla Glass 6 ใหม่ล่าสุด และมีฟิล์มกันรอยติดมาให้ หน้าจอไร้ขอบแบบนี้ก็ฝัง เซนเซอร์สแกนนิ้วไว้บนหน้าจอ และ เซนเซอร์วัดแสงอะไรทั้งหลายก็ฝังไว้ด้วยเช่นกันครับ หน้าจอคุณภาพรวมๆนั้นทำได้ดีนะ คือสู้แสงแดดได้ดีแล้วยังทำเรื่องของความแม่นยำสีความตรงของสีได้ดีเเละการสัมผัสทำออกมาได้ดี เกือบพอๆกับตัว Reno 10x Zoom เลยทีเดียวครับ
หน้าจอ AMOLED นั้นทำได้ดีอยู่แล้วในจุดนี้แสงไม่ดรอปเยอะและสีดำเข้มนั้น ทำได้ดีสนิท เมื่อมองมุมมองต่างๆนั้นทำได้ดี ดู Youtube ได้เต็มจอไม่มีติ่ง ภาพสวย สีสันสดใส เสียอย่างเดียวรุ่นนี้มาพร้อมกับลำโพงเเค่ตัวเดียว ถ้ามาพร้อมกับลำโพงคู่บอกเลยว่าสุดจัดปลัดบอกเเน่นอน
SOUND
เรื่องของเสียงรุ่นนี้จะต่างจากรุ่นก่อนเพราะว่ามาพร้อมกับรูหูฟัง 3.5มม. และยังคงมีการปรับแต่งมาให้ในแบบ Dolby Atmos ทำให้เสียงที่ได้นั้นอาจจะฟังรู้สึกมีกำลังขับของเสียงมากขึ้น และ สามารถปรับแต่งโทนเสียงได้ดีกว่าแบบเดิมค่อนข้างเยอะมีทั้ง EQ และ โหมดสำเร็จรูปครับ แน่นอนว่าการปรับพวกนี้จะเป็นการปรุงแต่งจาก Software มากกว่าถ้าใครที่เน้นคุณภาพมากๆอาจจะไม่ได้ดีมากนักถ้าใครที่เน้นในการฟังเพลงจริงๆ
ส่วนหูฟังที่เเถมจะเป็นหูฟังสีขาว โทนเสียงที่ได้ลองฟังก็อยู่ในเกณปกติ สียงที่ได้จากตัวเครื่องนั้น ออกมามีเบสมาดีมากเสียงย่านต่ำมาแบบนุ่มๆ และ เสียงมิติทำได้ค่อนข้างดี เวทีเสียงนั้นอาจจะไม่ได้กว้างมาก เสียงจะออกนุ่มๆฟังสบายๆเเละโทนเสียงไม่แหลมจนเกินไปครับ เรื่องสีอันนี้ต้องเเล้วเเต่คนชอบเลย เเต่โดยรวมมี EQ มาให้ปรับก็ช่วยได้เยอะครับ
SPEAKER
เรื่องของเสียงลำโพงในรุ่นนี้มีการใช้งานลำโพงเเค่ตัวเดียว หลังจากที่ได้ฟังมีเสียงที่ค่อนข้างดังอยู่ในระดับนึงความดังถือว่าใชได้เลยครับ มิติเสียงถือว่า OK จะมีเสียงออกทุ่มๆหน่อย ส่วนลำโพงเวลาเล่นเกม มิติเสียงอาจจะสู้รุ่นพี่ไม่ได้ในเรื่องของรายละเอียด เเต่ในรุ่นนี้ข้อดีคือลำโพงค่อนข้างดัง จึงสามารถทำให้ได้ยินเสียงภายในเกมอย่างชัดจน เอาเป็นว่าเรื่องเสียงโดยรวมถือว่าดีในเเบบของสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับลำโพงตัวเดียวครับ
GPS
ในส่วนของการนำทางของรุ่นนี้หลังจากที่แอดมินได้ทำการทดสอบนำทางจริงๆ และ ใช้แอพทดสอบ ผลที่ออกมาถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว มีความเเม่นยำอยู่ในระดับนึง สามารถใช้นำทางได้ ส่วนในการใช้แอพทดสอบนั้นก็จับได้ทั้งหมด 36 ดวง ทั้งบนรถ และ ทางเดินเท้าปกติ กลางแจ้งนะครับ และ ในที่ร่มนั้นทำได้ 20 ดวง จาก 36 ดวงนะครับ
BATTERY VOOC 3.0
เรื่องของเเบตเตอรี่ในรุ่นนี้จะมีเเบตเตอรี่มาให้ 3,765 mAh น้อยกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย เเละยัง รองรับชาร์จไวอย่าง VOOC Flash Charge 3.0 หลังจากที่ได้ทดสอบชาร์จไฟตั้งเเต่ 4% จนถึง 34 % ใช้เวลาร้าวๆประมาณ 20 นาที ถือว่าชาร์จเเบตได้ไวมากๆ เลยทีเดียวครับ ชาร์จเต็มร้อยใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง 30 นาทีเท่านั้น
เรื่องของการใช้งานเเบตเตอรี่ แอดมินลองนำมาออกมาใช้งาน โดยการใช้ในเรื่องของการถ่ายภาพบ้าง เปิดเว็ปไซต์ต่างๆบ้าง ดู Facebook หรือ Youtube ออกจากบ้านไปงานเปิดตัวประมาณ บ่ายสองเเบต 100% กลับถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ เเบตเหลือประมาณ 60 กว่า % โดยรวมถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวครับ
GAMING
ในเรื่องของการเล่นเกมในรุ่นนี้ยังคงมาพร้อมกับ Game space เป็นแอปพลิเคชันที่ออกแบบโดย OPPO เพื่อความสะดวกในการจัดการเกมในโทรศัพท์มือถือ โดยการใช้ Game Space ผู้ใช้จะสามารถจัดการเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีทั้งหมด 3 โหมดด้วยกันคือ โหมดประสิทธิภาพสูง โหมดสมดุล และโหมดการใช้พลังงานต่ำ และสามารถดูสถานะ Wifi ความนิ่งอะไรได้ รวมถึงล็อคความสว่างอะไรพวกนี้ได้ครับ
เมื่อเราเข้าเกมเราจะสามารถปัดเพื่อเลือกหน้าต่างการใช้งานของเกมส์ได้ ไม่ว่าจะกดใช้งานเรื่องของปุ่มห้ามรบกวน ไม่รับสาย เล่น AFK หรือโหมดในการเปิดเกมค้างเอาไว้ เเละ หน้าจะล็อคเเละลดความสว่างทำให้ดูเหมือนว่าเราไม่ได้เปิดเกมส์อยู่ มีการอัดหน้าจอ เเละ การบันทึกหน้าจอ รวมไปถึงการตอบเเชท หรือข้อความได้อีกด้วย
CAMERA 48MP
ในรุ่นนี้จะมาพร้อมกับกล้องหลัง 2ตัว ความละเอียด 48MP รูรับแสงขนาด F1.7 ( กล้องหลัก ) 5MP ( depth sensor ) กล้องรองความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 มีฟีเจอร์สำหรับถ่ายภาพกลางคืน Ultra Night Mode ไม่มี OIS เเต่มีระบบ EIS มาให้นะครับสำหรับรุ่นนี้ส่วนฟีเจอร์กล้องหลังนั้นมาครบ รองรับทั้งโหมด Ultra Night Mode 2.0 รองรับ face protection ทำให้หน้าคนไม่ได้เวอร์หรือซีดจนเกินไปแบบฉากหลัง และ มาพร้อม Dazzle Color Mode 2.0 , Artistic Portrait , AI beauty เป็นต้นครับ
PORTRAIT
ULTRA NIGHT MODE 2.0
FRONT CAMERA PIVOT-RISING
กล้องหน้ามาพร้อมกับการขึ้นลงแบบใหม่ที่เรียกว่า PIVOT-RISING เป็นการขึ้นลงแบบเอียงๆและคล้ายๆครีบฉลาม รองรับการใช้งานได้มากกว่า 200,000ครั้ง และ ยังมาพร้อมระบบเก็บอัตโนมัติเวลาทำตกด้วย มาพร้อมกับกล้องหน้า 16MP พร้อมรูรับแสง F2.0 รองรับระบบ AI beauty , Portrait คุณภาพของกล้องหน้ารุ่นนี้ก็ยังคงทำออกมาได้ดีพอๆกับรุ่นพี่เลย ครับเรื่องความคมชัดทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว รวมไปถึงเรื่องของโทนสีก็ยังคงเป็นในเเบบของ OPPO บอกเลยสาวๆคนไหนได้ลองเซลฟี่กล้องหน้าในรุ่นนี้ต้องหลงรักเเน่นอน
VIDEO – 4K 30FPS
เรื่องของการถ่ายวีดีโอของ OPPO Reno ในรุ่นนี้จะรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 4K ได้สูงสุด 30 fps ไม่มี OIS เเต่มีระบบ EIS สามารถอัดวีดีโอ 1080P เเบบ 60 FPS ได้คุณภาพที่ได้โดยรวมถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ทั้งการอัดวีดีโอด้วยกล้องหน้า เเละ กล้องหลัง ความคมชัด WB ที่ได้ เเต่ภาพวีดีโอที่ได้เวลาที่เดินถ่ายอาจจะมีการสั่นนิดหน่อยครับ เอาเป็นว่าไปรับชมในวีดีโอกันเลย
OPPO RENO รุ่น ธรรมดาเเต่ไม่ธรรมดา
เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว สำหรับในรุ่นนี้อาจจะมีเพียงเเค่การตัดในเรื่องของการซูม 60x ออกจากรุ่นนี้ เเต่ภาพรวมมีประสิทธิภาพไม่เเตกต่างจากรุ่นพี่มากเท่าไร ยกเว้นเเค่เรื่องของ CPU ที่มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ชิประดับกลางอย่าง Snapdragon 710 ลด RAM เหลือ 6GB เท่านั้น ส่วนหน่วยความจำที่ใส่มาหรือ ROM ก็ยังคงให้มาเยอะ เหลือสำหรับการใช้งานอย่างเเน่นอนครับ ส่วนในเรื่องของหน้าจอเเสดงผล ดีไซน์ เรียกได้ว่ามีความพรีเมียมเเละไม่ได้ด้อยไปจากรุ่น Reno 10x Zoom เลย ถ้าใครที่ไม่ได้คิดมากในเรื่องของกล้องที่ซูมได้ เเละ ซีพียูต้องตัว TOP อย่าง Snapdragone 855 รุ่นนี้ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเลย เเละทำให้ประหยัดเงินไปประมาณ 1,2000 บาทเลยทีเดียว
ข้อดี
- ดีไซน์การออกแบบ และวัสดุเป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร
- งานประกอบทำได้ดีเนียนเวลาสัมผัส
- หน้าจอเต็มตาไร้ติ่งหน้าจอ พร้อมคุณภาพที่ทำได้ดี
- ระบบเสียงลำโพงดัง มีมิติเสียงพอสมควร
- Snapdragon 710 เล่นเกมใช้งานทั่วไปสบายๆ
- RAM 6 GB STORAGE 256GB
- Pivot-Rising ซ่อนกล้องด้านหน้า แปลกใหม่ดี
- ชาร์เเบตได้ไว
- มีเเสกนนิ้วมือบนหน้าจอสเเกนได้ไว
ข้อสังเกต
- ไม่มีกันน้ำกันฝุ่น IP Rating
- ไม่รองรับชาร์จไร้สาย
- ไม่มี Periscope หรือ เลนส์มุมกว้าง เหมือนกับรุ่นพี่
สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review by Nineztr
*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ