SHAZAM! เป็นตัวละครที่ถือว่ามีมานานมากๆแล้ว และ เป็น Superhero ตัวแรกๆที่ทำเป็นภาพยนต์ในยุคแรกๆหลายสิบปีก่อนหน้าช่วง 1941 กันเลยและเป็นตัวละครที่มี อิทธิพลต่อ ELVIS นักร้องชื่อดังด้วย แน่นอนว่าแต่ก่อนนั้นจะใช้งานชื่อ Captain Marvel และ ยังไม่ได้อยู่ค่าย DC นะ จนหลังๆ DC ซื้อ และ มีการปรับเปลี่ยนชื่อกันไปเป็น SHAZAM! นั้นเอง บอกเลยว่าน่าสนใจจริงๆถ้าใครติดตาม คอมิคเองก็น่าจะพอรู้จักตัวละครนี้ดี ส่วนในจักรวาล DCEU เองนั้นเรื่องนี้ก็เป็น ภาคที่ 2 แล้วต่อเนื่องจากภาคแรก ที่แม้ว่ากระแสอาจจะไม่ได้เยอะมากในแง่ของความนิยมแต่ตัวหนังเองก็มีเอกลักษณ์ แนวทางใหม่ๆของ Superhero ได้ดีเหมือนกัน แน่นอนว่าหลายๆคนมองว่าภาคแรกอาจจะดูเด็กเกินไป ไม่จริงจัง แต่ถ้ามองลึกๆดราม่ามันลึกเอาเรื่อง แต่แอคชั่น หรือ งานออกแบบชุดดูเด็กไปหน่อย ทำให้ในภาคนี้มีการเปลี่ยนชุด จริงจังขึ้น และ แอคชั่นเองก็จัดเต็มแบบสะใจรวมพลังทีมได้อย่างดีเลยทีเดียว ถ้าถามว่าหนังดีกว่าเดิมไหม ก็ต้องบอกว่าดีคนละแนวกัน แต่แอคชั่น ดูสนุก เพลิน และ มุกที่มาแบบถูกจังหวะอันนี้ดีขึ้นเยอะมาก รวมถึงงานภาพ CG ที่งบแค่ 100 ล้านแต่ทำออกมาได้ดีมาก แม้จะเป็นฉากกลางวันก็ตาม
ในแง่ของเนื้อหาอาจจะต้องบอกว่าเป็นจุดที่ค่อนข้างเรียบๆเดาได้ง่ายเพลินๆไปทั้งหมดความเด็กในการแก้ปัญหาหรือดำเนินเรื่องยังมีอยู่แต่ก็ไม่ได้เยอะจนน่ารำคาญอะไรครับ ตัวบทเองชอบที่ส่งกระจายหลายๆคนได้ดี ไม่มีใครโดนลืมหรือ เด่นแย่งเกินหน้าตาซึ่งจุดนี้ทาง ผกก รับมือกับความเยอะของตัวละครได้ดีมากๆซึ่งกระจายบทได้ลงตัวและเล่าแบบไม่ติดขัดในหลายๆเหตุการณ์ของหนัง และ ลื่นไหลเพลินจนสนุกกับเนื้อหาไปอยู่เหมือนกันนะ แต่ถ้ามองในแง่ของความดราม่าลึกแบบภาคแรกที่เล่นประเด็นแม่ลูก แต่ภาคนี้กลับไม่ได้เจาะลึกในแนวทางนั้น แต่จะมาเน้นในแง่ของครอบครัว ที่วัยรุ่นเติบโตขึ้น และเน้นไปทางด้านแอคชั่นมากกว่าเดิมซึ่งจุดนี้หลายๆคนน่าจะชอบมากกว่าเดิมเยอะเลยแม้ว่าเนื้อหาจะไม่ได้มีพลิกอะไรเยอะแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อหรือง่วงเพราะหนังทำจังหวะมุกตลก จริงจัง แอคชั่นได้ดีซึ่งแม้จะมีหลายๆส่วนที่เราดูแล้วก็แบบ มันง่ายจัง หรือ แบบนี้ได้เลยก็มีบางจังหวะเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่ได้แปลกเวอร์เพราะถ้ามองในแง่หนังแนวนี้ โทนแบบนี้อะไรหลายๆอย่างก็เป็นไปได้รวมถึงมีตัวละครลับ และ Easter Egg เรื่อยๆ
ในแง่ของนักแสดงนั้นใช้งานชุดเดิมทีมหลัก และ เสริมด้วยตัวร้ายใหม่ทั้ง Lucy Liu , Helen Mirren ซึ่งต้องบอกว่าน่าสนใจ แต่ถ้ามองในแง่ของบทที่ส่งกับตัวร้าย ความรู้จัก แรงจูงใจหรือสิ่งที่เป็นตัวร้ายเยอะมากขนาดนั้นไหม เรากลับไม่ค่อยรู้สึกในเรื่องนี้เท่าไรนัก ทำให้น้ำหนักความเบาของตัวร้ายก็ไม่ได้รู้สึกเยอะแต่บทส่งตลกหน้าตายก็มีเรื่อยๆเช่นกันจนพอเข้าใจว่าสงสัยจะมาในแนวทางนี้ให้ชัดเหมือนกับภาคแรกๆนั้นแหละ ส่วนทางนักแสดงหลักหลายๆคนก็ทำได้ดี แต่ที่เด่นคงหนีไม่พ้น Jack Dylan Grazer ก็ถือว่าช่วยให้หนังมีสีสันและจังหวะที่ค่อนข้างสนุกเลยทีเดียว ซึ่งส่วนตัวชอบการรวมทีมในการต่อสู้ ในแต่ละคนมีเอกลักษณ์แตกต่างกันชัดและเป็นแนววัยรุ่นที่กำลังเติบโตได้ดี
แต่ที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือหลายๆฉากทำ CGI ออกมาได้เนียนตาและสวยมากๆทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อมาดูหนังที่ทุนสร้างไม่เยอะ แต่ทำงานออกมาได้ดีสวยแบบนี้ในหลายๆฉากกลางวันและกลางคืนบอกเลยว่างานดี Production ภาพรวมของหนังก็ทำได้ดีเกินกว่าที่คิดไว้เพราะตัวหนังเองขยายสเกลออกมาเยอะมากๆแต่ก็ไม่หลุดหรือพลาดจุดใหญ่อะไรให้เห็นครับจุดนี้งาน ภาพ ดีเทลงานขอชมเลยว่า งบแบบนี้จัดการได้ลงตัวอย่างมาก รวมถึงเสียงก็ทำได้ดีจนน่าแปลกใจในแง่ของทิศทางเสียง ดีเทลเสียงหลายๆส่วนรวมถึง ความแน่นของฉากต่อสู้สุดท้าย เสียงมังกรทำได้ดี เก้าอี้สั่นกันได้เลยในเรื่องนี้แอบแปลกใจว่าดีกว่าเดิมซึ่งภาคแรกเราไม่ได้เจออะไรแบบนี้เท่าไรนัก แต่เสียดายในแง่ของมังกรที่แม้จะทำมาสวยมาก แต่ความน่ากลัว หรือ ส่งผลต่อเนื้อเรื่องค่อนข้างน้อยเกินไปจริงๆ
ทำให้ภาพรวมค่อนข้างประทับใจกว่าหลายๆเรื่องของ Superhero ทั้ง 2 ค่ายก่อนหน้านี้หลังจากผิดหวัง Phase 4 ของอีกค่ายมาเยอะ แต่เรื่องนี้ชอบที่ยังคงความเป็นตัวเองได้ดี ทั้งแนวทางของหนัง เนื้อหา มุกตลก และ ความเป็นหนังวัยรุ่นซึ่ง ถ้าใครคาดหวังแอคชั่นเดือด ดราม่าจริงจัง แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ใช่แนวนั้น แต่ถ้าชอบในแง่ของหนังแนว แอคชั่น สายฮา ต่อสู้กันสนุก รวมถึงจังหวะโบ๊ะบะเรื่องนี้ตอบโจทย์ได้ดีดูสนุกเพลิน งานภาพและเสียงดีกว่าเดิมรวมถึงแอคชั่นเยอะขึ้นถ้ามองเทียบกับภาคแรกแต่ต้องบอกว่าอย่าคาดหวังในแง่ บท เนื้อเรื่องว่ามันจะลึกอะไรมากนัก แต่ไม่เสียดายเงิน เสียดายเวลานะ หนังรู้ว่าหนังทางตัวเองเป็นยังไงและยึดแบบนั้นไว้เสริมแอคชั่นเข้าไปกำลังดี และ มีฉาก ระหว่าง Credit และ เสริมท้าย End Credit ด้วยบอกเลยว่าต้องรอครับ พอรู้แนวทางอนาคตได้บ้างนะ