Sony แบรนด์ที่มีเทคโนโลยีหลากหลายมากมาย ทั้งหน้าจอ กล้อง ระบบเสียง และหลายๆครั้งมือถือแบรนด์ตัวเองก็อาจจะไม่ได้สุดมากนัก จนมาหลังๆนั้นเหมือนทางค่ายก็เริ่มรู้และนำมาปรับปรุง จนออกรุ่นเทพแบบ PRO-I ขึ้นมา ที่ไม่ใช่แค่มือถือ แต่มันคือกล้องระดับเทพเลยก็ว่าได้เพราะเมื่อเราดูจากสเปกทั้งเลนส์ ZEISS และ เซนเซอร์ตัวเดียวกับตระกูล RX ทำให้มันใช้งานขนาด 1 นิ้วกันเลยทีเดียว แถมปรับรูรับแสงได้ อีกทั้งในเรื่อง หน้าจอเทคโนโลยีจาก BRAVIA และ ระบบเสียงแบบ Hi-res จัดเต็มทั้งหมด รวมถึงงานออกแบบ วัสดุรุ่นนี้มีการพัฒนาและทำให้แตกต่างกับรุ่น 1 III ในหลายๆส่วน ซึ่งหลายๆคนก็อาจจะคาดหวังกันว่าในราคา 5 หมื่นกว่ารุ่นนี้มันจะมีอะไรน่าสน
Sony Xperia Pro-I มีหน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 4K (1644 x 3840 พิกเซล) อัตราส่วน 21:9 ที่ใช้กระจก Gorilla Glass Victus ส่วนกระจกด้านหลังใช้ Gorilla Glass 6 และกรอบตัวเครื่องอลูมิเนียม ภายในตัวเครื่องใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 888 ที่มาพร้อม RAM 12GB ความจุภายใน (UFS 3.X) 512GB ซอฟต์แวร์ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 11 แบตเตอรี่มีความจุ 4,500mAh รองรับชาร์จเร็ว 30W ที่ใช้เวลา 30 นาทีในการชาร์จแบต 50% ผ่านพอร์ต USB 3.2 Gen 2 ซึ่งน่าเสียดายว่าไม่รองรับการชาร์จไร้สายในรุ่นนี้ แต่เรื่องกล้องนั้นจัดเต็มมากๆเพราะมาพร้อมกับ กล้องหลังจำนวน 3 ตัวที่มีความละเอียด 12MP ทั้งหมด โดยนอกจากกล้องตัวหลักที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว กล้องที่เหลือประกอบด้วยกล้อง ultrawide 16มม. (f/2.2) และกล้องเทเล 2x 50มม. (f/2.4) แต่น่าเสียดายที่ Sony ไม่สามารถที่จะใส่เลนส์ขนาด 70-105มม. แบบปรับเปลี่ยนได้ใน Xperia Pro-I เหมือนกับที่ใส่ใน Xperia 1 III และ Xperia 5 III กล้องตัวหลักของสมาร์ตโฟนดังกล่าวมาพร้อมฟีเจอร์ออโตโฟกัสแบบ Real-time Eye ที่จะปรับโฟกัสแบบอัตโนมัติเมื่อถ่ายภาพหรือวิดีโอของคนหรือสัตว์ ภายในตัวเครื่องยังมาพร้อมหน่วยประมวลผลรูปภาพ Bionz X แบบเดียวกับที่ใช้ใน Xperia 1 III และ 5 III Sony ได้ใส่ปุ่มชัตเตอร์มาใน Xperia Pro-I มาให้สองปุ่มที่ด้านข้างตัวเครื่อง และ กล้องหน้า 8MP ยังคงเป็นตัวเดิมครับ ส่วนทางด้านราคาเองนั้น เปิดมาที่ 56,990 บาทไทย ในสเปก RAM 12 STORAGE 512 GB
UNBOX
ตัวกล่องเองค่ายนี้ยังคงเน้นเรื่องของการรักษ์โลกและไม่มีการใช้งานวัสดุพลาสติกเข้ามาในตัวกล่องเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งตัวฟิล์มหน้าจอหรือตัวเครื่องก็ไม่ได้มีการติดตั้งอะไรมาให้จากโรงงาน และ อุปกรณ์ในกล่องนั้นจะมีแค่หัวชาร์จ USB-C 30W และ สาย USB-C ไป USB-C นั้นเอง พร้อมกับ คู่มือการใช้งานเท่านั้นไม่มีหูฟังหรือเคสมาให้แต่อย่างใด ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาก็แอบน่าเสียดายน่าจะมีให้พวกเคสหรือฟิล์มกันรอยมาให้ก่อนหาเคสก็น่าจะดีเช่นกัน
DESIGN
งานออกแบบตัวเครื่องยังคงเอกลักษณ์ของ SONY ได้ดีเพราะว่ามีความแตกต่างกับรุ่นอื่นๆชัดเจนและมีความเป็น SONY ได้เด่นชัดจากรูปทรงแนวแคบสูง และ กล้องตรงกลางขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ ส่วนตัวชอบการจับถือและงานประกอบของค่ายนี้มากๆทั้งคุณภาพดีและกล้าที่จะออกแบบ รวมถึงขอบเครื่องเองก็มีการเล่นขีดๆคล้ายกับกล้อง RX นั้นเองทำให้เวลาจับสัมผัสขอบเครื่องจะเป็นขีดๆตามแนวยาวของตัวเครื่องทั้งหมดและวัสดุทำได้ดีมาก
หน้าจอมาพร้อมกับ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว (1644×3840พิกเซล) ความละเอียด 4K HDR, อัตราส่วน 21:9, รีเฟรชเรท 120Hz, DCI-P3 color gamut 100%, X1 for mobile, lluminant D65 White point, 10 bit tonal gradation, ใช้กระจก Gorilla Glass Victus ดีไซน์และหน้าจอเหมือนกับตัว 1 Mark 3 ทั้งหมดครับ
ขอบด้านล่างหน้าจอนั้นทำได้บางขึ้นเยอะเลยเพราะการออกแบบหน้าจอทำได้ดีขึ้น และไปหนาในส่วนข้างบนแทนที่เป็นที่อยู่ขอบพวกลำโพง กล้องหน้าต่างๆ ส่วนปุ่มควบคุมนั้นก็เป็นปกติแบบ Android 11 เต็มหน้าจอทั้งหมด
ส่วนขอบด้านบน นั้นจะเห็นว่าหนากว่าด้านอื่นๆด้วยการออกแบบหน้าจอของมันทำให้มาหนาส่วนข้างบนแทน และ เป็นที่อยู่ของไฟแจ้งเตือน Led ที่มุมเครื่อง เซนเซอร์ต่างๆ กล้องหน้า ลำโพงตัวที่ 2 พวกนี้ครับยังมีความหนานิดหน่อย แต่แอบรู้สึกว่าบางกว่ารุ่น 2 แต่ทั้งเรื่องของตำแหน่งกล้อง ลำโพงอะไรไม่ได้เปลี่ยนจากรุ่นที่แล้วเท่าไรครับ
ขอบเครื่องด้านขวานั้น จะเห็นว่าเป็นปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียง พร้อมกับปุ่ม Power ที่เป็นแบบสแกนนิ้วในตัว และรองรับการใช้งานกดลงไปได้แล้วครับ ถือว่าสะดวกมากๆ และมาพร้อมกับปุ่ม ชัตเตอร์สำหรับเข้ากล้องด่วนรวมถึงการถ่ายในโหมดทั่วไปและโปรเช่นกันซึ่งจะมีปุ่มเพิ่มเข้ามา และ ปุ่มวงกลม นั้นจะเป็นการเข้าโหมด Cinema Pro นั้นเองสำหรับการถ่ายวิดีโอ ซึ่งจะเป็นจุดแตกต่างกับรุ่น 1 III และ ปุ่ม พิเศษ รวมถึง การออกแบบ ขอบเครื่องแบบขีดๆทั้งหมดที่ทำให้มันสัมผัสได้ดี ถือได้ดี และ ความแข็งแรงนั้นดีกว่าแบบเรียบๆแน่นอนของตัววัสดุขอบเครื่องแบบนี้
ขอบเครื่องด้านบนจะเห็นยังคงมีตำแหน่งของรู 3.5มม. และไมค์ตัดเสียงที่ใส่เข้ามาให้ในด้านนี้ และจะเห็นว่าขอบเครื่องนั้นมีความเหลี่ยมสันอย่างชัดเจนในมุมมองนี้ และการทำที่ขอบเครื่องให้มีขีดเว้าก็ทำได้น่าสนใจและสวยมาก
ขอบเครื่องด้านซ้าย จะเห็นว่าดีไซน์นั้นมีความเป็นตัวเองมากๆ แม้จะมองจากด้านข้างพร้อมกับถาดซิมแบบที่เป็นแบบเปิดได้เลยไม่ต้องใช้ที่จิ้มซิมมาพร้อมกับซีลกันน้ำรองรับ IP68 และ ที่ห้อยสำหรับคล้องมือก็มีออกแบบมาให้เลย
ขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะเห็นว่ามีรู USB-C 3.1 และไมค์สำหรับรับเสียงและตัดเสียงได้ด้วย ความเรียบเนียนและกระจกไม่โค้งยังทำได้ดี งานออกแบบจับถือได้ง่ายและบาง รวมถึงมีการทำขีดๆรอบเครื่องไว้ทั้งหมดเลยทีเดียวครับ
ฝาหลังเองนั้นเรียบๆวัสดุกระจกแบบด้านๆสวยงามและลงตัวพร้อมกับการวางกล้องไว้ตรงกลางเครื่องและโชว์เลนส์ขนาดใหญ่ ที่ใช้งานเซนเซอร์ 1 นิ้ว พร้อมปรับรูรับแสงได้ไว้ตรงกลาง และโลโก้ ZEISS รวมถึง เลนส์ ZEISS TESSAT T* ด้วยเช่นกันที่เขียนไว้ชัดเจน และแน่นอนว่า กล้องตัวอื่นๆก็เรียงกันไว้ทั้งหมดบนล่าง แต่น่าเสียดายว่าไม่มีเลนส์ Periscope ใส่เข้ามาให้ในตัวนี้ แต่ส่วนอื่นๆ การวัดแสง แฟลชต่างๆใส่เข้ามาให้ครบ เรียกได้ว่าโหด
กล้องหลัง มาพร้อมกับ กล้องตัวหลัก 1.0 นิ้ว 24mm 12MP ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS สำหรับมือถือ, รูปรับแสงคู่ f2.0/f4.0, มุมกว้าง 85 องศา, Hybrid OIS/EIS, ZEISS Tessar Optics และ กล้อง ultra wide กว้าง 124 องศา 12MP ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS สำหรับมือถือขนาด 1/2.5 นิ้ว รวมถึง กล้องเทเล 2x 50mm 12MP ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS สำหรับมือถือขนาด 1/2.9 นิ้ว (f/2.4), มุมกว้าง 48 องศา, เซนเซอร์ iToF 3D, เคลือบด้วย ZEISS T* มีความนูนเล็กน้อยครับแต่ไม่ได้เยอะมาก รวมถึงมีไมค์สำหรับอัดเสียงแยกมาให้
SPEC
- หน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว (1644×3840พิกเซล) ความละเอียด 4K HDR, อัตราส่วน 21:9, รีเฟรชเรท 120Hz, DCI-P3 color gamut 100%, X1 for mobile, lluminant D65 White point, 10 bit tonal gradation, ใช้กระจก Gorilla Glass Victus
- ชิปประมวลผล Snapdragon 888 5nm ที่ใช้การ์ดจอ Adreno 660
- RAM 12GB + ความจำภายใน (UFS 3.1) 512GB, สามารถใส่ microSD card เพิ่มได้ถึง 1TB
- Android 11
- ซิมคู่แบบ Hybrid (nano + nano / microSD)
- กล้องหลัง
- กล้องตัวหลัก 1.0 นิ้ว 24mm 12MP ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS สำหรับมือถือ, รูปรับแสงคู่ f2.0/f4.0, มุมกว้าง 85 องศา, Hybrid OIS/EIS, ZEISS Tessar Optics
- กล้อง ultra wide กว้าง 124 องศา 12MP ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS สำหรับมือถือขนาด 1/2.5 นิ้ว
- กล้องเทเล 2x 50mm 12MP ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS สำหรับมือถือขนาด 1/2.9 นิ้ว (f/2.4), มุมกว้าง 48 องศา, เซนเซอร์ iToF 3D, เคลือบด้วย ZEISS T*
- ฟีเจอร์ Real-Time Eye AF (คน, สัตว์), Real-Time Tracking, Cinematography Pro “powered by CineAlta”, Videography Pro, ถ่ายวิดิโอ 4K HDR ได้ที่ 120fps, Optical SteadyShot พร้อม FlawlessEye, SteadyShot พร้อม Intelligent Active Mode (5-axis stabilization), Slowmotion(720p 120fps), ระบบตัดเสียงลม
- กล้องหน้า 8MP ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS ขนาด 1/ 4 นิ้ว (f/2.0), ขนาดพิกเซล 1.12μm, มุมกว้าง 84 องศา
- ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm, 360 Reality Audio, 360 Reality Audio hardware decoding, 360 Spatial Sound, ลำโพง stereo แบบ Full-stage, รองรับ Dolby Atmos, DSEE Ultimate, อัดเสียงแบบ Stereo, Qualcomm aptX HD audio
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างตัวเครื่อง
- ขนาดตัวเครื่อง:166 x 72 x 8.9มม.; น้ำหนัก: 211 กรัม
- ตัวเครื่องกันน้ำ (IPX5/IPX8), กันฝุ่น (IP6X)
- รองรับเครือข่าย 5G (sub-6GHz) / 4G VoLTE, Wi-Fi 802.11 ac (2.4GHz / 5GHz) 2 x 2 MIMO, Bluetooth 5.2, GPS/ GLONASS, NFC
- USB Type-C 3.1
- แบตเตอรี่ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว 30W (USB PD), ระบบการชาร์จ Xperia Adaptive, Battery Care, STAMINA Mode, Qi Wireless charging, ฟังก์ชัน Battery Share
PERFORMANCE
ทางด้านประสิทธิภาพในรุ่นนี้จัดเต็มมาพร้อมกับ CPU Snapdragon 888 ตัวล่าสุดมาพร้อมกับ RAM 12GB และ ทำคะแนน Antutu ไปได้ที่ 742924 คะแนนครับ ส่วนเรื่องของหน่วยความจำเป็นแบบ UFS 3.0 อ่านเขียนได้ที่ 1828 MB/S และ 722 MB/s ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้นเป็น DRM L1 ตามปกติของค่ายนี้ครับ รองรับดูหนังสูงสุดครับ NETFLIX HDR และ Geekbench นั้นทำคะแนนไปได้ 1109 และ 3424 คะแนนครับถือว่าทำได้ดีในด้านการใช้งานจริงระบบจัดการของ SONY ทำออกมาได้ลื่นไหลและเสถียรมากๆอีกค่าย และมีการอัปเดตที่ไวอันดับต้นๆของบรรดา Android เลยทีเดียวสำหรับค่ายนี้ครับ และ หน้าจอ 4K OLED 120HZ รองรับดูอะไรได้ครบมาก
SYSTEM UI
ทางด้านระบบนั้นมาพร้อมกับ Android 11 ค่อนข้างเพียวมากๆตามสไตล์ SONY ครับ มีการเปลี่ยนแปลงแทรกเข้ามาแค่นั้นนิดหน่อยในส่วนของฟีเจอร์ต่างๆของค่ายครับ ตัวระบบลื่นไหลเอามากๆและสเถียรอีกทั้งยังอัปเดตได้ไวอันดับต้นๆของ Android ทางด้านตัวนาฬิกาก็มาคงสไตล์เดิมและมีเลขแจ้งเตือนมุมแอป จุดแจ้งเตือนอะไรมาให้ครับตัวการควบคุมนั้นมาแบบ Android 11 ใช้งานแบบ GESTURE เต็มรูปแบบมากขึ้นกว่าเดิมเลยในหน้าตาภาพรวม
SCREEN
หน้าจอในรุ่นนี้เป็นตัวเดียวกับ 1 III และคุณภาพดีมากๆ ให้หน้าจอมาที่ 6.5 นิ้ว ความละเอียด 4K OLED HDR Display อัตราส่วน 21:9 120Hz refresh rate, 100% DCI-P3 color gamut, X1 for mobile, lluminant D65 White point, 10 bit tonal gradation, Corning Gorilla Glass Victus จัดเต็มเลยทีเดียวครับ และยังทำ Software 240Hz สูงกว่าเดิมเยอะมากๆครับ รวมถึงทางด้านสเปกการสู้แสงที่ดีขึ้น แต่ด้วยความละเอียดหน้าจอและเป็นจอที่หายากมากๆในตลากทำให้การสู้แสงเองนั้น จะได้ประมาณ 560nits อาจจะสู้แสงในกลางแจ้งโหดๆไม่ได้ดีมากนักแต่ก็เพียงพอในการใช้งานทั่วไป ซึ่งจอน่าจะมีแค่จุดนี้ที่อาจจะไม่ได้จัดเต็มแต่ส่วนอื่นๆนั้นไม่ธรรมดา และสัมผัสนั้นลื่นไหลมากกว่าเดิม ความเนียนตาเวลาดูหนังเล่นเกมที่รองรับ บอกเลยว่าชอบมาก
หน้าจอแบบ 4K OLED ทำให้ภาพนั้นไม่เพี้ยนเลยครับ และสีสันอะไรยังคงทำได้ดี แน่นอนว่าหน้าจอตอนเปิดตัวนั้นก็มีการยืนยัน และเปรียบเทียบกับหน้าจอทั้งหน้าจอทีวี และรวมถึง Master Monitor ที่เป็นหน้าจอสำหรับถ่ายหนังก็ยังทำสีได้ตรงกันเป๊ะเป็นอีกจุดที่ทาง SONY นั้นพัฒนาร่วมกับของดีของค่ายอีกอย่างคือหน้าจอ นอกเหนือจากการพัฒนาร่วมกับทีมกล้องถือว่าเป็นการร่วมมือที่ควรจะมีการพัฒนามานานแล้วทำให้มือถือของค่ายตัวเองนั้นมีจุดเด่นหลายๆอย่างที่เป็นจุดแข็งอยู่แล้วในแบรนด์หลัก ทำให้มือถือนั้นมีคุณภาพที่ใช้งานได้ดีขึ้นเยอะมากๆ และการสู้แสงก็ถือว่าทำได้ดีระดับนึงครับตัวนี้ เป็นหน้าจอที่สวยและสมจริง ดูคอนเทนต์อะไรเทพที่สุดเลย และการปรับมาเป็น 120Hz น่าจะเป็นหน้าจอมือถือที่โหดที่สุดตัวนึงในตลาดตอนนี้ทั้งคุณภาพและลื่นไหล เพราะว่ารองรับ 10Bit HDR 4K ด้วยเช่นกันครับ และในการใช้งานจริงสีสันตรงและสู้แสงก็ทำได้ดี แต่ยังยากเวลาเจอแสงแรงๆอยู่นะครับ
หน้าจอตัวนี้มาพร้อมกับการรองรับ Ambient Display เหมือนกับรุ่น 1 IIIครับ สามารถปรับแต่งการออกแบบได้นิดหน่อยแต่ไม่ได้เยอะแยะมากครับ การมองเห็นในเวลากลางวันก็พอมองเห็นในที่ร่มในตัวอาคาร ภายนอกก็มองเห็นอยู่พอสมควรครับเป็นแบบขาวดำนั้นจะค่อนข้างเด่น ตัวหน้าจอสามารถตั้งได้ว่าให้ทำงานตอนช่วงกี่โมงหรือตลอดเวลาได้ และสามารถเปลี่ยนหน้าตา นาฬิกา และ สติกเกอร์ในส่วนข้างล่างของหน้าจอ อะไรได้ ซึ่งไม่ได้พัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนเท่าไร ในแง่ของตัวสติกเกอร์หรือการปรับเปลี่ยนต่างๆ แต่จะใส่รูปตัวเองได้เท่านั้นนั้นเองครับในตัวนี้
SOUND
ระบบเสียงนั้นแน่นอนว่า SONY เป็นไม่กี่ค่ายที่ยังคงทำรูหูฟังแบบ 3.5 มม. เข้ามาให้และรองรับระบบเสียง HI-RES ด้วยเช่นกัน รวมถึงในแง่ของไร้สายก็รองรับ LDAC ครบๆพร้อมใช้งาน แต่ที่น่าสนใจนั้นต้องบอกว่าเป็นการรองรับเสียงแบบผ่านรู 3.5 มม สำหรับสาย Audiophile เองนั้นต้องสนใจมันมากกว่าเดิมแน่นอนครับ รองรับการเล่นไฟล์ AAC-LC, AAC+, eAAC+, AAC-ELD, AMR-NB, AMR-WB, FLAC, MP3, MIDI, Vorbis, PCM, Opus, ALAC, DSD, Dolby Atmos, Dolby AC-4, 360 Reality Audio และ รองรับการปรับแต่งเสียงผ่าน Software แบบ Dolby Atmos ครับ แต่ไม่แน่ใจว่าตัวสเปก DAC ในเครื่องเองนั้นจะใช้ตัวไหน ของค่ายไหนครับ
เรื่องของเสียงจากที่ฟังเพลงจาก Spotify และตัว ไฟล์เพลง Hi-res ที่รองรับแน่นอนว่าจากการฟังเอาแค่ Spotify รู้สึกได้ว่าแรงขับเค้าทำได้ดีกว่าที่เคยฟังในตัวอื่นๆ แต่ถ้าถามรายละเอียดก็ไม่ได้ต่างกันมากนักเพราะมันเป็นแอป Streaming อาจจะไม่ได้ทำได้สุดแม้จะเปลี่ยนหูฟังอะไรมาหรือเปลี่ยนเครื่องก็ตาม แต่จะรู้สึกได้ว่าแรงขับมันดีกว่าทั่วไปเพิ่มกลางๆก็ดังเอาเรื่องแล้วครับ แต่ถ้าเรามาลองฟัง Hi-res ไฟล์ในเครื่องอันนี้เริ่มรู้สึกต่างกันทันทีครับแน่นอนว่า กำลังขับดีกว่าฟังแบบ Streaming ไปทันทีชัดเจน และ ดีเทลเสียงรู้สึกว่ามาได้ดี แยกเสียงดนตรีได้ชัด ละเอียดมากๆ เสียงย่านต่ำมาแบบแน่นๆแต่ไม่ได้ลึกหรือสะใจมากนักถ้ามองเสียงเบส เน้นไปทางเสียงร้องใสชัด รายละเอียดแน่นมากๆ และ กำลังขับเด่นชัดเจน แต่ถ้าภาพรวมจุดนี้เป็นข้อดีของมือถือรุ่นนี้และถ้ามองเทียบกับมือถือเรือธงสมัยนี้ ตัวนี้น่าจะทำได้ดีที่สุดแล้วในเรื่องเพลงและเสียงต่างๆในการฟังเพลงจากหูฟัง และทำได้ประทับใจเลยแหละ
BATTERY
ตัวแบตเองนั้นอยู่ที่ 4,500 mAh และรองรับการชาร์จไฟเข้าสูงสุด PD 30W แต่รุ่นนี้จะไม่รองรับการชาร์จไร้สาย อันนี้แอบน่าเสียดายมากๆ เพราะรุ่น 1 III นั้นรองรับ และตัวแบตก็เท่าๆกับรุ่นนั้นครับ รู้สึกส่วนตัวแบตเองนั้นให้มาเพียงพอทั้งวันแบบกำลังดี แต่ก็รู้สึกได้อีกว่าไหลกว่า 1 III ชัดเจนครับ เท่าที่ที่ได้ลองใช้งานจริงจังทั้งวันนั้นแบตอยู่ได้ทั้งหมด 9 ชั่วโมง จอเปิด 3-4 ชั่วโมงครับ ใช้งานนำทางหน้าจอเปิดตลอดเป็นหลัก และถ่ายรูปพวกนี้ก็พอได้เกือบทั้งวันครับ ตัวเครื่องใช้งาน กลับมาช่วงเย็นเหลือ 10% และมีโหมด ประหยัด Stamina สามารถยืดอายุได้ในยามฉุกเฉินครับ ส่วนความร้อนนั้นก็ทำได้ดีกว่าตัว 1 III แต่ตัวแบตจะค่อนข้างไหลไปง่ายกว่าเหมือนกันครับในตัวนี้
CAMERA
ทางด้านกล้องเราจะเน้นเยอะนิดหน่อย ตัวนี้จะมาพร้อมกับเลนส์หลักที่ใหญ่มากๆเซนเซอร์แบบ 1 นิ้วแม้อาจจะไม่ได้ใช้งานเต็มพื้นที่แต่ก็ถือว่าใหญ่กว่ารุ่นอื่นๆครับ และมาพร้อมกับ กล้องหลังจำนวน 3 ตัวที่มีความละเอียด 12MP ทั้งหมด กล้องตัวหลัก 1.0 นิ้ว 24mm 12MP ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS สำหรับมือถือ, รูปรับแสงคู่ f2.0/f4.0, มุมกว้าง 85 องศา, Hybrid OIS/EIS, ZEISS Tessar Optics พร้อมด้วย กล้อง ultrawide 16มม. (f/2.2) และกล้องเทเล 2x 50มม. (f/2.4) แต่น่าเสียดายที่ Sony ไม่สามารถที่จะใส่เลนส์ขนาด 70-105มม. แบบปรับเปลี่ยนได้ใน Xperia Pro-I เหมือนกับที่ใส่ใน Xperia 1 III และ Xperia 5 III กล้องตัวหลักของสมาร์ตโฟนดังกล่าวมาพร้อมฟีเจอร์ออโตโฟกัสแบบ Real-time Eye ที่จะปรับโฟกัสแบบอัตโนมัติเมื่อถ่ายภาพหรือวิดีโอของคนหรือสัตว์ ภายในตัวเครื่องยังมาพร้อมหน่วยประมวลผลรูปภาพ Bionz X แบบเดียวกับที่ใช้ใน Xperia 1 III และ 5 III Sony ได้ใส่ปุ่มชัตเตอร์มาใน Xperia Pro-I มาให้สองปุ่มที่ด้านข้างตัวเครื่อง โดยปุ่มแรกมีลายขรุขระ ปุ่มที่สองเป็นปุ่มวงกลมสำหรับถ่ายวิดีโอในแอป Videography Pro นั้นเอง ถือว่ามีปุ่มเสริมเข้ามาเพิ่มจากรุ่นปกติ 1 III
F2.0 / F4.0
ด้านหน้าของเซ็นเซอร์ Exmor RS ถูกเคลือบด้วย Zeiss ที่ทำให้เลนส์ขนาด 24มม. และเป็นตัวแรกของค่ายที่รองรับการปรับรูรับแสงขนาด f/2.0 ที่ปรับได้ถึง f/4.0 และ ตัวแรกของโลกที่ใช้งานกับเซนเซอร์ 1 นิ้ว ซึ่งข้อดีของมันจะช่วยให้การเก็บแสงสว่างมากๆ และ อยากได้มิติภาพที่ชัดลึกมากกว่าเดิม หรือ เอาไปใช้งานเวลาลากชัตเตอร์และไม่อยากให้ภาพนั้น สว่างหรือ โอเวอร์มากเกินไปด้วยเช่นกันครับ และ ส่งผลในเรื่องการเบลอแบบ Hardware ของตัวเลนส์เอง เพราะบางคนอาจจะถ่ายอาหารแล้วอยากให้ชัดทั้งภาพการปรับ 4.0 ก็เข้ามาช่วยคุณภาพตรงนี้ได้ และส่งผลในเรื่องการละลายหลังที่เป็นละลายแบบจริงๆ ไม่ได้ใช้งาน Software เข้ามาช่วยทำให้มิติเนียนและสวย
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้ลอง คุณภาพของตัวเลนส์หลักทำได้ดีมากๆ ประทับใจทั้งมิติของภาพ และคุณภาพไฟล์เมื่อเอามาแต่งต่อ แต่ทางด้าน เลนส์ไวด์มุมกว้าง หรือ เทเล ยังค่อนข้างธรรมดาถ้าหากเทียบกับระดับราคานี้ อีกทั้งเรื่องของ Software เองยังถือว่าใช้งานยากและไม่เก่งเหมือนเดิม คือมันจะไม่สามารถถ่ายสวยจบจากกล้องได้เลยถ้าเจอสภาพแสงยากๆครับ รวมถึงการจัดการแสงสีบางจังหวะอาจจะแปลกๆ แต่มันดีขึ้นกว่ายุคก่อนๆเยอะมากทั้งนี้ก็ยังต้องพึ่งการ Process อีกทีถ้าจะเอาสวยหรือจบแบบกล้องมือถือค่ายอื่นๆครับ เพราะโทนสี ของ XPERIA จะเน้นความดิบ แบบกล้องใหญ่ โทนสี Skintone ถ้าแสงดีๆถือว่าสวย แต่การถ่ายละลายหลัง Portrait ก็เก็บขอบดีขึ้น แต่แสงน้อยหรือระยะถ้าไม่ได้ก็อาจจะไม่สวยและค่อนข้างธรรมดามากๆครับในตัว Portrait Software จากตัวกล้องนี้
RAW DNG LIGHTROOM
ตัวไฟล์ RAW .DNG จากกล้องตัวนี้เดี๋ยวทางเราจะอัปให้ไปลองแต่งกันนะครับ ตามลิงก์ได้เลยนะ ส่วนที่ลองตัวไฟล์ใหญ่มากกกก 24MB เลยทีเดียวครับเท่ากับพวกกล้องใหญ๋ A9 A7 กันเลยแหละแน่นอนว่าเป็นไฟล์ 12BIT RAW เก็บรายละเอียดได้ดีในเลนส์หลักครับ ลองไปแต่งกันดูถือว่าไฟล์มันดิบเป็นปกติและเอามาดึงเล่นได้เยอะจริงๆ คุณภาพไฟล์ยืดหยุ่นมากๆในการใช้งาน แต่ด้วยความละเอียด 12MP มันอาจจะจำกัดเวลาครอปภาพ ครอปมุมใหม่ๆเหมือนกัน แต่ถ้ามองมิติของภาพ การเอามาดึงท้องฟ้า สีสันก็ทำได้น่าสนใจและคุณภาพไฟล์ดีอันดับต้นๆเลยครับ ทางเราเลยเทียบกันเล็กน้อยระหว่างก่อนแต่งและหลังแต่ง ในการดึงสีสันให้เด่นขึ้น กดท้องฟ้าให้เห็นดีเทลจากภาพที่โอเวอร์ต่างๆ ซึ่งทำได้ดี เพราะบางทีในการถ่าย AUTO กล้องตัวนี้ไม่สามารถเก็บได้ดีเท่าไรทำให้เราต้องมาดึงเอง
RAW FILE สำหรับเอาไฟล์จาก XPERIA PRO I
ไปลองแต่งกันได้นะครับ :: DRIVE XPERIA PRO I
PORTRAIT
SELFIE
กล้องหน้าทางค่ายนี้ก็ยังคงไม่ได้เด่นหรือเน้นมากนัก ซึ่งตัวนี้กล้องหน้าเป็นตัวเดียวกับรุ่นก่อนหน้าที่เราทดสอบกันไป ซึ่งสเปกนั้นให้มาที่ กล้องหน้า 8MP (f/2.0) ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS ขนาด 1/ 4, ขนาดพิกเซล 1.12μm, และถ่ายภาพมุมกว้างได้ 84° ซึ่งเป็นตัวเดียวกับรุ่น 1 ก่อนหน้าและไม่ได้พัฒนาขึ้นมากเท่าไรแอบน่าเสียดาย และสำหรับใครสายเซลฟี่นั้นน่าจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไรทั้งงานภาพนิ่งและวิดีโอในรุ่นนี้ครับ ซึ่งรองรับแค่ FHD 30FPS เท่านั้น แต่รู้สึกว่า Software มีการพัฒนาปรับมาให้คมชัดมากกว่าเดิม แต่ถ้าเน้นสวยงาม หรือ เทียบคู่แข่งบอกเลยว่ายังห่างไกลมากๆครับ ทั้งความคมชัด มุมกว้าง หรือ แม้แต่การจัดการแสงสีของตัวกล้องชดเชยแสงต่างๆในตัวนี้
VIDEO PRO
สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ที่ 120fps สำหรับการถ่าย slow motion 5x นอกจากนั้น Sony ยังเอาใจสายถ่าย Vlog โดยการวางขายอุปกรณ์เสริมชื่อ Sony Vlog Monitor ที่มีหน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว (1280×720พิกเซล) สำหรับการถ่าย Vlog ที่เอาไว้ติดสำหรับด้านหลังตัวเครื่อง ทำให้สามารถถ่ายตัวเองด้วยกล้องเซนเซอร์ขนาด 1 นิ้วได้ และในตัวเครื่องจะมีปุ่มวงกลมสำหรับถ่ายวิดิโอในแอป Videography Pro ซึ่งโหมดนี้จะใช้งานง่ายกว่า Cinema Pro ก่อนหน้านี้ครับทำให้เรื่องเข้าถึงต่อผู้ใช้งานไม่ยากแบบที่คิด แต่ถ้าใครอยากใช้งาน แบบโหดๆก็มีอีกแอปไว้รองรับด้วยเช่นกันอันนี้ถือว่าอิสระมากๆเลยทีเดียว
CAMERA PRO
ทางด้านโหมดวิดีโอเทพนั้นใส่เข้ามาให้สำหรับสายอาชีพได้เลย ทั้งเรื่องของการถ่ายไฟล์แบบดิบสีเดิมๆที่เราจะเน้นไปทำสีต่อแบบที่หลายๆคนในสายถ่ายวิดีโอนั้นใช้งานกัน รวมถึงสามารถปรับ ชัตเตอร์ FPS อะไรได้ทั้งหมดแบบในการถ่ายหนังจริงๆรวมถึง ทั้งค่าได้ทั้งหมดว่าจะเป็นโทนสีแบบไหนก่อนถ่าย อีกทั้งยังมีการบอก ไมค์ ระดับเสียงรวมถึง แบต และ Codec ด้วย อีกทั้งจุดที่ชอบมากๆคือในการปรับโฟกัสแบบ ไล่ระยะอัตโนมัติ โดยในภาพที่ 2 นั้นเราจะเห็นว่ามีการเซ็ตจุด A-B ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจุดไหนเราจะเอาชัดตรงไหนครับ และกด มันจะทำการไล่โฟกัสจาก จุด A ไปยัง B แบบเนียนๆเหมือนกันมืออาชีพ บอกเลยว่าอันนี้ถือว่าน่าสนใจและใช้งานได้เนียนตามากๆ
4K HDR 30FPS
4K 30FPS SOUND TEST
SONY XPERIA PRO I
” มือถือสำหรับช่างภาพ คุณภาพไฟล์ยืดหยุ่น งานประกอบดี แต่ก็เฉพาะกลุ่ม “
มือถือของ SONY เรียกได้ว่าเฉพาะกลุ่มอยู่แล้วและยิ่งทาง SONY เองได้เปิดตัว PRO I ที่เน้นไปอีกขั้นก็ไม่แปลกใจว่ากับราคานี้จริงๆก็ถือว่ามันมีกลุ่มของเค้าอยู่นั้นเองครับ และส่วนตัวที่ได้ลองคือประทับใจคุณภาพงานประกอบ และ แน่นอนว่าเรื่องของกล้อง ไฟล์ที่ยืดหยุ่นอย่างมากในการใช้งาน เอามาแต่งต่อ เอามาขยายทำโทนสีต่างๆนั้นสบายมากอีกทั้งไฟล์ RAW ก็มีขนาดใหญ่ 24MB กันเลยทีเดียว และ เรื่องของฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอก็ไม่ธรรมดาในการเอาไปใช้งานถ่ายหนังสั้นหรือทำงานจริงจังก็สามารถรองรับได้ อีกทั้งเรื่องหน้าจอ และระบบเสียงก็จัดเต็มเช่นเดิมสำหรับค่ายนี้ ทำให้คนที่จะจ่ายเงินซื้อรุ่นนี้ นอกเหนือจากรักค่ายนี้แล้วต้องรักการถ่ายภาพแบบเอามาแต่งต่อถึงจะคุ้มอย่างมากเช่นกัน และ ด้วยพลังเลนส์ ZEISS รวมถึง ขนาดเซนเซอร์ 1 นิ้วเองก็ทำได้น่าพอใจ แต่ก็เสียดายในเรื่องชาร์จไร้สาย กล้องหน้า หรือ โหมดการถ่ายที่ อาจจะเจาะกลุ่มคนทั่วไปได้ยากและถ่ายแบบสวยจบได้ยากยังคงเป็นจุดหลัก
ข้อดี
- หน้าจอที่สวยที่สุดของบรรดา Smartphone ในยุคนี้ทุกตัว
- หน้าจอ 4K 120HZ OLED ที่สุดของหน้าจอเหนือคู่แข่ง
- งานประกอบ งานออกแบบ แน่นคุณภาพสูงและแตกต่างกับค่ายอื่น
- ระบบเสียงหูฟังแบบมีสายที่ดีที่สุด และไม่กี่ตัวที่ทำได้ดีขนาดนี้
- กล้องหน้าตัวเดิม แต่ Software ทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ
- กล้องหลัง เซนเซอร์ 1 นิ้วโดดเด่น คุณภาพดี DR ดี และ มิติภาพสวย แต่งง่าย
- คุณภาพไฟล์ RAW ทำได้ดี แต่งต่อได้ง่าย
- โหมดถ่าย วิดีโอ สำหรับมืออาชีพของจริง ปรับได้ดีมาก
- ลำโพงคู่ตำแหน่งเสียงดี มิติเสียงดี
- Snapdragon 888 รองรับการทำงานได้ดี
- โทนสีของภาพ ธรรมชาติ และ ให้อารมณ์กล้องใหญ่ของ SONY
ข้อสังเกต
- ขาดเลนส์ เทเลคุณภาพสูงไป
- กล้องยังเจอความร้อนบ้าง ถ้าใช้งานนานๆ
- Software ถ่ายภาพ Auto น่าจะทำได้เข้าถึงง่ายกว่านี้
- เลนส์มุมกว้างน่าจะดีกว่านี้
- ราคาเฉพาะกลุ่มอย่างมาก
- ไม่มีชาร์จไร้สาย
สำหรับรีวิวนี้ก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกเรารีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะคะ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget