Xiaomi ยังคงเป็นแบรนด์ผลิตสมาร์ตโฟนที่มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด ที่ชัดเจนมากคือเสียวหมี่ เน้นหนักทั้งในเรื่องของภาพเคลื่อนไหว และ ภาพนิ่ง กล้องมีการพัฒนาขึ้นหลากหลายเท่าตัว รวมถึงสเปกส่วนอื่นๆ ลำโพง งานประกอบ หรือว่าจะเป็นหน้าจอหลายๆอย่างนั้นปรับพัฒนาขึ้นเช่นกัน ทางด้าน Xiaomi 11T Pro รุ่นนี้เป็นสมาร์ตโฟนของทางค่ายตัวล่าสุด ในรุ่นนี้ต้องเรียกได้ว่าสเปกจัดเต็มมากๆ มาพร้อมกับ Snapdragon 888 และ กล้องหลัง 108MP เรียกได้ว่างานถ่ายภาพนิ่งที่ดีขึ้นเยอะมากจริงๆ หรือจะเป็นเทคโนโลยี 120W Xiaomi Hypercharge ที่เสียวหมี่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 เปอร์เซ็นต์ให้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ได้ใน 17 นาที ตามที่ทางเสียวหมี่แจ้งไว้ สำหรับแบตเตอรี่ให้มาที่ 5,000 mAh ก็ถือว่าจัดเต็มมากขึ้นชัดเจนเลยทีเดียว

Xiaomi 11T Pro ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาดใหญ่ 6.67 นิ้ว มีรีเฟรชเรตถึง 120Hz ความละเอียด Full HD+ (2400×1080 พิกเซ)  นอกจากนี้ ในรุ่น 11T Pro จะรองรับ TrueColor ระบบเสียง Dolby Vision และลำโพงปรับจูนโดย Harman Kardon ภายในตัวเครื่องใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 888 5nm RAM LPDDR5 8GB และระบบระบายความร้อนแบบ VC LiquidCool ในส่วนของกล้องหลังมีจำนวน 3 ตัวประกอบด้วย กล้องตัวหลัก 108MP + กล้อง ultra-wide 8MP + กล้องเทเลมาโคร 5MP รองรับการซูม 2 เท่า แบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh ที่รองรับชาร์จเร็วแบบมีสาย 120W Xiaomi Hypercharge สามารถชาร์จสมาร์ตโฟนจนเต็มได้ในเวลา 17 นาที และแน่นอนว่าในไทยนั้นก็แถมทั้ง เคสใส สายชาร์จ และ หัวชาร์จไว ก็ใส่เข้ามาให้ทั้งหมด ไม่ได้ตัดออกไปไหนในเวอร์ชันที่ขายค่ะ

PRICE 

มีมาทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเทา Meteorite Gray สีขาว Moonlight White และสีฟ้า Celestial BlueXiaomi 11T ราคาเริ่มต้นที่ 13,990 บาท (RAM 8 GB/ROM 128 GB) ราคา 13,990 บาท และ ราคา 14,990 บาท (RAM 8 GB/ROM 256 GB)

ส่วน Xiaomi 11T Pro ราคาเริ่มต้นที่ 16,990 บาท (RAM 8 GB/ROM 128 GB) ราคา 18,990 บาท (RAM 8 GB/ROM 256 GB) และ ราคา 20,990 บาท (RAM 12 GB/ROM 256 GB)

โดยจะเริ่มเปิดให้พรีออร์เดอร์ตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันที่ 24 กันยายน พิเศษช่วงพรีออเดอร์มาพร้อมของแถมสุดคุ้ม ! รับฟรี Mi TV P1 55 นิ้ว และ Mi Watch รวมมูลค่า 19,840 บาท ตัวเครื่องรับประกันนาน 24 เดือน และประกันหน้าจอ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. 64 – 8 ต.ค. 64

UNBOX

อุปกรณ์ในกล่อง ถือว่าให้มาครบเลยทีเดียว มาพร้อมกับ Adaptor 120W ที่มีขนาดใหญ่มาก และเคสใสที่ให้มาคุณภาพที่ดีพอสมควร เรียกว่าของในกล่องพร้อมใช้งานไม่ต้องหาเคสหาฟิล์มมาเพิ่มและที่สำคัญไม่ตัดอุปกรณ์เหมือนรุ่นอื่นๆในปัจจุบัน

  • ตัวเครื่อง XIAOMI 11T Pro
  • เคสใส XIAOMI 11T Pro
  • Adaptor ชาร์จไฟ 120W
  • สาย USB-A ไป USB-C
  • คู่มือ ที่จิ้มซิม
  • ฟิล์มกันรอยติดตั้งมาให้บนหน้าจอ

ตัวเคสของทาง Xiaomi นั้นยังคงมีความบางแต่ก็สามารถปกป้องรอบๆเครื่องได้เป็นอย่างดี แต่อาจจะต้องระวังในส่วนของหน้าเลนส์นิดนึง ใส่แล้วไม่ได้ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้นจนเกินไปถือว่าทำเคสออกมาได้ดี

แต่ยังดีที่ตามมุมเหมือนจะหนาขึ้นมานิดหน่อย มีการนูนขึ้นรอบๆและทำมุมพิเศษทั้ง 4 มุมครับ แต่ไม่ได้สูงมาก ส่วนด้านหลังตรงกล้องนั้นมีนูนขึ้นมาตามความนูนของโมดูลกล้องแต่ก็ไม่ปกป้องเลนส์กล้องหลังได้ดีเท่าที่ควร เวลาวางคว่ำพื้นผิวเรียบๆก็พอกันได้แต่ถ้าใช้งานติดฟิล์มอะไรเข้าไปก็จะนูนมาป้องกันไม่ได้ แต่ก็พอใช้งานชั่วคราวได้ ก่อนหาซื้อเคส

DESIGN

งานออกแบบนั้นมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมๆในเรื่องของตัวกล้อง รวมถึงเส้นสายการออกแบบรอบๆตัวกล้องเช่นเดียวกัน ดีไซน์ลงตัวมากขึ้นเป็นชิ้นเดียวกันมากขึ้น กล้องหลักขนาดใหญ่พร้อมกับ กล้องรอง 2 ตัวออกแบบอยู่ในโมดูลเดียวกันได้พอดี พร้อมกับการเล่นแสงสีเงาสวยงามตัดกับสีดำชัดเจน ฝาหลังแบบด้านกระจกคุณภาพสูงพร้อมกับการสะท้อนแสงสีได้กำลังดีครับในรุ่นที่เราได้จะเป็นสีดำ แต่ถ้าเจอแสงก็สะท้อนสวยงามและดูมีมิติมากขึ้นไปอีก หนัก 204 กรัม พร้อมกับหนา 8.8มม

หน้าจอมาพร้อมกับหน้าจอ  AMOLED ขนาดใหญ่ 6.67 นิ้ว  (2400×1080 พิกเซล) ความละเอียด Full HD+, สามารถแสดงสีได้กว่า 1 พันล้านสีและให้ความสว่างมากที่สุดถึง 1,000 nits อีกทั้งมีอันตรา Touch Sampling Rate ถึง 480Hz และเคลือบด้วยกระจก Corning Gorilla รุ่น Corning Gorilla Glass Victus นอกจากนี้ หน้าจอของ Xiaomi 11T Pro ยังมีฟีเจอร์ถนอมสายตาหลากหลายรูปแบบเพื่อปกป้องผู้ใช้งานจากอาการตาอ่อนล้า เช่น ฟังก์ชัน True Display ปรับสีอุณหภูมิหน้าจอโดยอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมที่ผู้ใช้งานอยู่

ในด้านบนเราจะเห็นว่าองศามุมจอภาพนั้นมีความโค้งมากกว่าเดิมก็เป็นอีกจุดที่งานออกแบบนั้นแตกต่างจากรุ่นก่อนๆครับ ส่วนกล้องหน้าให้มามุมซ้ายบน และด้านบนนั้นซ่อนขอบลำโพงอะไรต่างๆได้เนียนตาและเว้าเอียงไปด้านบน ส่วนลำโพงหลักนั้นจะให้มาเป็นขอบเครื่องด้านบนและด้านล่าง ปรับเสียงจาก Harman/Kardon เลยทีเดียว

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นขนาดปกติ แต่ก็ถือว่าบางขึ้นจากรุ่นก่อนๆ ส่วนการควบคุมปุ่มนั้นปรับเปลี่ยนได้ทั้งหมดจะเป็นแบบปุ่มหรือท่าทางขอบเครื่องซ้ายขวา มีโค้งลงไปนิดๆให้พอสวยงามจับถนัดมากขึ้น

ขอบเครื่องในด้านขวา นั้นเราจะเห็นว่ามีตัวปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียง พร้อมกับปุ่ม Power แบบสัมผัส จะกินพื้นที่ขอบเครื่องมากกว่าเดิม และฝาหลังที่โค้งลงมาทำให้การจับถือนั้นถนัดมือ

ส่วนขอบเครื่องทางด้านซ้ายนั้นไม่มีปุ่มมาแทรก และพื้นที่กระจกฝาหลังนั้นโค้งมาเยอะ

ขอบเครื่องในด้านบนนั้นเป็นการออกแบบปัดเงาสีเทาเงินสวยงาม เราจะเห็นว่ามีเขียน Sound By Harman Kardon เสริมเข้ามาเหมือนรุ่นก่อนหน้า ข้างๆกับลำโพงหลัก และ จะเห็นไมค์ และ รู IR สำหรับการควบคุมแทนรีโมต

ในขอบเครื่องด้านล่างเราจะเห็นว่ามี ลำโพงอีกตัวใส่เข้ามาให้ และ ไมค์ รวมถึง USB-C และถาดซิมที่รองรับ Dual SIM แต่ไม่สามารถเพิ่ม Micro-SD มาพร้อมกับซีลยางกันน้ำอะไรเรียบร้อยเพื่อป้องกันน้ำต่างๆ

ในรุ่นที่เราถ่ายรีวิวนั้นจะเป็นสีเทา หรือเรียกว่า Meteorite Gray เป็นกระจกฝาหลังเทาแบบเงาพร้อมกับการเล่นแสงสะท้อนสีเงินสวยงามทำให้ดูมีมิติ ฝาหลังวัสดุกระจกทำให้ผิวสัมผัสเนียนมือและดูดีมากๆ การที่ทำขอบโค้งทำให้การจับถืออะไรนั้นสะดวกมากขึ้นไปอีกแต่น่าเสียดายว่าเลนส์กล้องนั้นมีความนูนมากขึ้น 2 ระดับ และ มีการเน้นเลนส์หลักมากขึ้นไปทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมา

กล้องหลังในรุ่นนี้ใช้งาน 3 เลนส์หลักๆ มาพร้อมกับเลนส์หลัก 108MP  (f/1.85) ที่ใช้เซนเซอร์ Samsung ขนาด 1/ 1.33″, ขนาดพิกเซล 0.8μm, OIS + กล้อง ultra-wide 123° 8MP (f/2.4) + กล้องเทเลมาโคร 5MP (f/2.4) รองรับการซูม 2 เท่า, ถ่ายวิดีโอ 8k ได้ 30fps, ถ่ายวิดีโอ 4k ได้ที่ 60fps, ถ่าย slow-mo 960fps ได้ที่ 720p สูงสุด 960FPS และโหมด Movie Effect

SPEC

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว 1080 x 2400 พิกเซล (395 ppi) Full HD+ รีเฟรชเรท 120Hz, ความสว่างสูงสุด 1500nit, ระบบสัมผัส 480Hz touch-sensing , หน้าจอกระจกแบบ Gorilla Glass Victus
  • สเปกของ Snapdragon 888 (5nm)
  • ความเร็ว 2.84 MHz
  • การ์ดจอ Adreno 660
  • RAM 8GB / 12GB
  • ความจุ 128GB / 256GB
  • Nano-SIM รองรับ 2 ซิมการ์ด
  • Android 11 ครอบด้วย MIUI 12.5 based
  • กล้องหลัง 108MP (f/1.75) ที่ใช้เซนเซอร์ขนาด 1/1.52 นิ้ว + กล้อง ultra-wide 8MP มุมกว้าง 120 องศา (f/2.2) + กล้องเทเลมาโคร 5MP ขนาด3ซม-7ซม (f/2.4) รองรับการซูม 2 เท่า ถ่ายวิดีโอ 8k ได้ 30fps, ถ่ายวิดีโอ 4k ได้ที่ 60fps, ถ่าย slow-mo 960fps ได้ที่ 720p, LED flash
  • กล้องหน้า 16MP (f/2.45)
  • IP53 ป้องกันฝุ่นและน้ำ
  • เซนเซอร์สแกนลายนิ้วด้านข้าง เซนเซอร์อินฟราเรด IR
  •  ระบบเสียง Dolby Vision และลำโพงปรับจูนโดย Harman Kardon
  • ขนาดตัวเครื่อง 164.1×76.9×8.8มม. น้ำหนัก 204 กรัม
  • รองรับเครือข่าย 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 802.11 ax (2.4GHz + 5GHz), Bluetooth 5.2, GPS (L1 + L5), NFC
  • ใช้พอร์ต USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 5,000mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว 120W

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพในรุ่นนี้แน่นอนว่าการใช้งาน Snapdragon 888 ทำให้ในเรื่องของคะแนนนั้นทำได้ดี ทำคะแนนไปได้ 638486 คะแนน และทางด้าน Geekbench นั้นทำคะแนนได้ 647/2587 ส่วนทางด้าน Androbench นั้นทำไปได้สูงมากๆในการอ่านเขียน อ่านทะลุ 1800 MB/s ไปแล้วพร้อมกับเขียน 740 MB/s ก็ถือว่าเร็วแรงใช้งานได้ดี และแน่นอนว่ารองรับการดู NETFLIX ระดับ L1  เต็มที่แน่นอน ไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้ รวมถึงระบบเสียงก็ทำได้เต็มที่ของระบบเลยทีเดียว

SYSTEM UI

ใช้งานระบบ MIUI 12.5  ถือว่าเป็นระบบที่หน้าตายังคงความสวยงาม ทันสมัยและลูกเล่นมากมาย มาพร้อมกับหน้าจอล็อก ที่เข้ากล้องได้ และหน้าจอหลักพร้อมกับ เลขแจ้งเตือนอะไรนั้นยังคงใส่เข้ามาให้ ทำงานบน Android 11

การตั้งค่าสามารถเลื่อนลงมาและตั้งค่า 5 ตั้งค่าด่วนได้ พร้อมกับปรับความสว่างได้ด้วยเช่นกัน พร้อมกับสามารถปรับเปลี่ยนได้มาให้ทั้งหมด 3 หน้าใน Quick Setting รวมถึงรุ่นนี้สามารถทำหน้าต่างลอย Pop Up ได้แล้วในหลายๆแอป ถือว่าสะดวกพอสมควรในการใช้งานจริง

หน่วยความจำพื้นที่เก็บข้อมูล 256GB เหลือใช้งาน 215 ก็ถือว่าเหลือๆในการใช้งานจริง รองรับกับการถ่ายภาพไฟล์ใหญ่ๆได้สบาย ส่วน RAM สูงสุดที่ 12GB ใช้งานลื่นไหลได้สบายๆเลย และคีย์บอร์ดนั้นเป็น Google ปกติ

ทาง Xiaomi ได้ใส่ระบบป้องกันการโดนขอบเข้ามาให้เช่นเคย สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ป้องกันในระดับไหน ในโซนสีแดงจะไม่ทำงานถ้าเผลอไปโดนนั้นเอง รวมถึงยังมีการซ่อนรอยบากมาให้ และ ปุ่มนำทางสามารถปรับเปลี่ยนได้เหมือนเดิม

ทางด้านฟีเจอร์ Gesture ยังคงใส่เข้ามาให้ครบเหมือนเดิมเลยทีเดียว มีการไล่น้ำออกจากลำโพงเมื่อลำโพงหรือมือถือโดนน้ำเข้าไป และท่าทาง ปุ่มลัดก็ยังคงใส่เข้ามาให้เต็มที่เลยทั้งหน้าจอ และปุ่มการตั้งค่าส่วนอื่นๆ

SCREEN

หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว (2,400×1,080พิกเซล) Full HD+ รีเฟรชเรท 120Hz แบบปรับอัตโนมัติ ความสว่าง 1,000 nits Touch Sampling Rate ถึง 480Hz และเคลือบด้วยกระจก Corning Gorilla รุ่น Corning Gorilla Glass Victus รวมทั้งยังมีฟีเจอร์ถนอมสายตาหลากหลายรูปแบบ เช่น ฟังก์ชัน True Display ปรับสีอุณหภูมิหน้าจอโดยอัตโนมัติ รวมถึง Reading Mode 3.0 แน่นอนว่าด้วยสเปกของตัวหน้าจอนี้ถือว่าเป็นหน้าจอที่สวยและคุณภาพสูงอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ และการใช้งานที่รองรับ 120Hz ทำให้การใช้งานมีความลื่นไหลมากขึ้น และสัมผัสได้ดีมากขึ้น ส่วนในเรื่องการออกแบบหน้าจอรุ่นนี้ยังคงมีการเจาะรูที่หน้าจอเพื่อใส่กล้องหน้าแต่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนักทำให้ดีไซน์ภาพรวมนั้นยังถือว่าสวยงามเหมือนเดิมค่ะ

มุมมองของจอภาพนั้นเราจะเห็นว่าแม้จะเป็นมุมมองแบบเอียงๆก็ตามก็ยังสามารถแสดงผลได้ค่อนข้างดีแสงสีอะไรนั้นไม่ได้ดรอปลงไปมาก ถือว่าเรื่องของมุมมองหน้าจอ การแสดงผลในการรับมือกับแสงสะท้อนอะไรต่างๆนั้นทำได้ดีเลยทีเดียว ส่วนหน้าจอนั้นมีความสวยสด และมีมิติสวยงามตามระดับราคาเรือธงสมัยนี้และการที่ปรับภาพความละเอียดสูง และ 120Hz ได้ทำให้มีความลื่นไหลมากๆ และมีความสวยงามมากเลยทีเดียว ตอบสนองต่อการเล่นเกม การเลื่อนดูรูป และคอนเทนต์ต่างๆ

SOUND

ทางด้านเสียงนั้นเราจะเห็นว่าได้ตัด 3.5 มม. แม้จะปรับเสียงมาจาก Harman Kardon ก็ตามแต่เสียงที่ออกมานั้นทำออกมากได้ดี รายละเอียดของเสียงชัดเจน เสียงมีความดัง สามารถปรับแต่งอะไรได้นิดหน่อยแต่ก็เป็น Software ล้วนๆ เสียงที่ได้นั้น กลางๆมิติกำลังดี แรงขับใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้า รวมถึงโทนเสียงหรือว่าแนวเสียงเองก็ตามแอบน่าเสียดายเลยทีเดียว แต่แน่นอนว่ายุคนี้หลายๆคนอาจจะไม่ได้เน้นสายแล้วก็ตาม ทำให้ Harman kardon จะเป็นมีผลมากๆแค่ลำโพง หรือโทนเสียงของลำโพงซะมากกว่านั้นเอง เพราะเปิด/ปิดได้

SPEAKER 

ลำโพงในรุ่นนี้ได้รับการปรับจูนเสียงจากทาง Harman Kardon แน่นอนว่าเรื่องของเสียงนั้นพัฒนาขึ้น แต่ถ้าเรามองเทียบกับเรือธงค่ายอื่นๆก็ต้องบอกว่ายังไม่ได้ดีขนาดนั้น แน่นอนว่าในเรื่องของความดัง ถือว่าเบามากๆเมื่อใช้งานจริงเทียบกับหลายๆตัวในตอนนี้เสียงไม่ได้เด่นกว่าคู่แข่งเท่าไรนัก รวมถึงถ้ามองในแง่ของคุณภาพเสียงก็ไม่ได้เด่นกว่าด้วยเช่นกัน เสียงทางลำโพงเลยอาจจะไม่ได้ดีแบบที่คาดหวังไว้แต่แน่นอนว่า คุณภาพเสียงนั้นดีกว่าตัวก่อนๆ มีมิติ แน่น นุ่มมากกว่าเดิมแต่ถ้าเทียบเรือธงตัวอื่นๆยังไม่เท่าไร

GPS

Snapdragon ในการนำทางนั้นยังคงไว้ใจได้มากๆตัวนึงในการเดินทางไปต่างจังหวัด รวมถึงการใช้งานในเมืองบอกเลยว่า ความแม่นยำนั้นทำออกมาได้ประทับใจมากๆทั้งเรื่องของความนิ่ง จำนวนที่จับได้รวมถึง การใช้พลังงานก็ไม่ได้ลดสูบไวมากนัก รวมถึงความร้อนในการใช้งานนั้นถ้ากลางแจ้งทั่วไปนั้นจับได้ทั้งหมด 82 ดวง จากที่เห็น 101 ดวง และ ในส่วนที่ร่ม หรือใต้ทางด่วน อุโมงค์ต่างๆนั้นสามารถจับได้ทั้งหมด 26 ดวง และ เจอทั้งหมด 98 ดวง ถือว่ายังคงไว้ใจ Snapdragon ได้เช่นเดิมในการนำทางไม่ว่าจะรุ่นไหน และทำงานร่วมกันกับ 5G ได้ลงตัวขึ้นค่ะ

BATTERY

การใช้งานแบตตัวนี้บอกเลยว่าทาง Xiaomi นั้นทำออกมาได้ประทับใจมากๆ ในการกินพลังงานต่างๆนั้นรู้สึกได้เลยว่าทางด้าน MI 11T Pro นั้นถ้าใช้งานทั่วไปก็ถือว่าโดยรวมคุณภาพดี แต่ถ้าเปิดกล้องถ่ายภาพก็แอบไหลไปไวพอสมควรและทำให้เครื่องร้อนไว  ในภาพเราจะเห็นว่าใช้งาน 5 ชั่วโมง จอเปิด 6-7 ชั่วโมง เหลือกลับมา 10% และ ใช้งานทั้ง Map ถ่ายรูป และ เข้าแอปทั่วไป ถือว่าทั้งวันแบบพอดีในกาารใช้ทั่วไปภาพรวมก็ถือดีระดับกลางยังไม่ได้อึดมาก

CAMERA

กล้องมีการพัฒนาขึ้นหลากหลายเท่าตัว เน้นหนักทั้งในเรื่องของภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว กล้องหลังตัวนี้มาพร้อมกับสเปกตัวเลนส์หลักที่เด่นๆ 108MP เลยทีเดียวมาพร้อมกับ (f/1.75) ที่ใช้เซนเซอร์ขนาด 1/1.52 นิ้ว + กล้อง ultra-wide กว้าง 120 องศา 8MP (f/2.2) และ กล้อง Telemacro AF ขนาด3ซม-7ซม 5MP (f/2.4) ซูม 2 เท่า , ถ่ายวิดีโอ 8k ได้ 30fps, ถ่ายวิดีโอ 4k ได้ที่ 60fps, ถ่าย slow-mo 960fps ได้ที่ 720p, LED flash แต่ถ้ามองในเลนส์หลักที่ให้มาที่ 108MP ก็ถือว่าให้มาดีภาพรวมหลังจากที่ได้ทดสอบถ่ายทั้งหมดก็ยังไม่มีปัญหาเลย คุณภาพโทนสี หรือ การโฟกัสไวมาก และมีหลายโหมดให้เลือกใช้งาน

SELFIES

กล้องหน้าให้มาพร้อมกับเลนส์ตัวเดียวในการใช้งานมีความละเอียด 16MP (f/2.45) ซึ่งความละเอียดน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่ให้มา 20MP แต่ก็เพียงพอสำหรับการถ่ายภาพนิ่งทั่วไป ส่วนคุณภาพในการถ่ายก็รองรับได้ดีทั้งการละลายหลังที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ หรือการถ่ายกลางคืนก็ไม่ได้แย่อะไรแม้จะรูรับแสงแคบก็ตาม เพราะมีการเพิ่มแสงและเปิดโหมดกลางคืนเสริมเข้ามาได้ ส่วนการถ่าย Portrait ก็มีให้เล่นแสงสีหรือ Effect ต่างๆ คุณภาพโดยรวมนั้นทำได้ดีระดับนึง มุมภาพไม่ได้กว้างมากนัก แต่โทนสีทำได้ดี

VIDEO

สำหรับการถ่ายวิดิโอมาพร้อมคอนเซ็ปต์ ” Cinemagic ” ซึ่งการถ่ายวิดีโอนั้นรองรับการถ่ายความละเอียดสูงสุด 8K 30FPS  รวมถึงการถ่ายทั่วไปรองรับ 4K 60-30 และ FHD 60-30 นั้นเอง รองรับการถ่าย Slowmotion สูงสุด 960FPS และ Movie Effect ที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ อีกทั้ง มีกันสั่นพิเศษ แบบปกติ และ แบบโปร ก็เสริมเข้ามาให้ใช้งาน  และยังมีการถ่าย Super Macro และ การติดตามวัตถุได้ด้วยค่ะ และโหมดรักษาเส้นขอบฟ้า จะมีเส้นวัดระดับให้ดู และยังมีโหมด One-Click AI Cinema ที่สามารถการถ่ายวิดิโอระดับมืออาชีพด้วยฟีเจอร์อย่าง Time Freeze, Magic Zoom นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Audio Zoom ที่สามารถซูมเสียงที่อยู่ไกลได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

XIAOMI 11T PRO 

” สมาร์ตโฟนเรือธงตัวล่าสุดของทาง XIAOMI สเปก Snap 888 กล้องดีขึ้น ดีไซน์โดดเด่น พร้อมชาร์จไว 120W “

XIAOMI เป็นแบรนด์ตลาดสมาร์ตโฟนเรือธงที่ทำสเปกออกมาได้คุ้มค่ามาตลอด ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ผลิตสมาร์ตโฟนออกมาในภาพรวมดูลงตัวและจัดเต็มมากที่สุดเมื่อเทียบกับราคาใกล้ๆกัน Xiaomi 11T Pro ที่ไม่มีชื่อแบรนด์ Mi นั้นยังคงเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ Mi 11 และเป็นภาคต่อของ Mi 11 และ Mi 11i และแน่นอนว่าเรื่องของกล้องยังคงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แต่รุ่นนี้ความละเอียดกล้องยังเท่ากับรุ่นก่อนหน้า คุณภาพกล้องถ่ายออกมาได้เยี่ยมจริงๆ รวมถึงการถ่ายวิดีโอที่มีฟีเจอร์ให้เราได้เลือกใช้งานได้หลากหลายโหมด อีกทั้งรุ่นนี้ได้ลำโพงที่ปรับเสียงจาก Harman/Kardon ทำให้เสียงนั้นยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์อยู่ จุดเด่นของรุ่นนี้คือระบบการชาร์จไวที่ให้มาถึง 120W สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ไวมากๆอย่างที่ทางแบรนด์เคลมมา หน้าจอก็ทำออกมาได้ลื่นไหลที่มีระบบสัมผัส 480Hz touch-sensin  สามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้ดี แต่แบตเตอรี่ไหลไวไปหน่อย และเครื่องก็ร้อนไวถ้าใช้งานมากๆ  แต่ถ้าไม่ใช้งานเยอะก็ถือว่าปกติ และ Snapdragon 888 ยังสร้างความประทับใจด้วยการตั้งค่าลำโพงระดับพรีเมียมและคุณภาพของภาพถ่ายและวิดีโอ แต่ที่สำคัญในรุ่นนี้ก็ยังไม่มีเลนส์เทเลใส่เข้ามาให้เช่นเคย

ข้อดี

  • ระบบลื่นไหลดีและตอบสนองการใช้งานไว
  • Snapdragon 888 ชิปเซ็ตเรือธง ใช้งานได้สบายๆ
  • MIUI หน้าตาดูโดดเด่น สวยงามขึ้น
  • ระบบการชาร์จเร็ว 120W ทำงานได้เยี่ยมจริงๆชาร์จขึ้นไวมาก
  • คุณภาพของภาพถ่ายและวิดีโอถือว่าดีในระดับนึง
  • วิดีโอมีฟีเจอร์ให้ใช้งานเยอะ รองรับ 8K
  •  Dolby Vision OLED ขนาดใหญ่

ข้อสังเกต

  • ด้านหลังเครื่องเปื้อนรอยนิ้วมือง่ายมาก
  • เครื่องร้อนไว
  • การประมวลผลภาพถ่ายช้า
  • แบตเตอรี่ยังไม่อึดเท่าไหร่ ถือว่าไหลไว
  • ไม่มี OIS กล้องเทเลโฟโต้

สำหรับรีวิวนี้แอดก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะคะ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะเพื่อนๆสนใจอยากให้พวกเรารีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะคะ >>>>>>>>> TECHHANGOUT