Xiaomi นั้นถือว่าเป็นแบรนด์ที่ต้องบอกว่าทางเราเองก็ได้ใช้งานรีวิวมาเยอะแยะหลากหลายพอสมควร รวมถึงทางแบรนด์เองนั้นก็ทำสินค้าออกมาครอบคลุมทุกตลาดเลยก็ว่าได้ ถือว่าเป็นแบรนด์ที่เติบโตไวอย่างมากและทำสินค้า Eco System ของตัวเองได้เยอะมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลกในบรรดาสินค้า ของใช้ เทคโนโลยี หรือแม้แต่ไปร่วมมือทำรถยนต์อีกมากมายเลยครับ และในครั้งนี้เรามาอยู่กับเครื่องฟอกอากาศ ที่ทางแบรนด์เองนั้นก็ทำออกมาหลายรุ่นก่อนหน้านี้แล้ว และในรุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นล่าสุดที่ทำออกมาขายรวมถึงเป็นรุ่นที่สเปกฟีเจอร์ค่อนข้างจัดเต็มที่สุดในตอนนี้ด้วยเช่นกันกับ Xiaomi Mi Air Purifier 3H รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับดีไซน์แบบเดิม แต่เปลี่ยนหน้าจอ ระบบอะไรใหม่รวมถึงประสิทธิภาพการใช้งาน การกรองที่ดีกว่าเดิมด้วยเช่นกันครับ และใช้งานจะเป็นยังไงมาอ่านกัน

Xiaomi Mi Air Purifier 3H นั้นเปิดตัวเป็นรุ่นล่าสุดของบรรดาเครื่องกรองอากาศในแบรนด์ มาพร้อมกับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเยอะพอสมควร ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนๆแต่ทางด้านดีไซน์งานออกแบบนั้นไม่ได้เปลี่ยนมากนักครับ มาพร้อมกับ  (CADR) อยู่ที่ 380 ลบ.ม./ชม. หน้าจอเป็นแบบสัมผัส OLED  ตั้งระดับความเร็วลมได้ เพราะรุ่นก่อนๆนั้นทำไม่ได้ครับในหน้าจอนี้ รวมถึง ครอบคลุมพื้นที่ 48 ตารางเมตร และปรับ พัดลมภายในแบบใหม่ มีพลังมากขึ้น และเสียงเบาลง ใช้ฟิลเตอร์กรองอากาศ True HEPA ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจาก EPA Class 12 เป็น HEPA Class 13 รองรับ Google Assistant และ Alexa รวมถึง สามารถกรองฝุ่นขนาดใหญ่ตั้งแต่เส้นผม ขนสัตว์ ไปจนเล็กขนาด 0.3 ไมครอน และแน่นอนว่ามีจอ OLED มีไฟบอก ค่า PM2.5 ภายในห้องแบบ Real-Time ด้วยครับถือว่า ประสิทธิภาพในการใช้งานดีขึ้น และ ใช้งานง่ายขึ้นในแง่ของหน้าจออะไรต่างๆด้วยเช่นกันครับ ตัวนี้ และทางด้าน ราคานั้นแต่ละร้านจะมีโปรมีราคาแตกต่างกันไป แนะนำลองดูตามลิงก์ที่ให้ไปนั้นจะดีที่สุดครับผม แต่ราคาปกติจะเป็นช่วง 4,999-5,999 บาทนั้นเอง ครับหรือถ้าใครเจอราคาดีกว่านี้ก็จัดได้เลยครับ หรือจาก Xiaomi เอง

UNBOX 

  • เครื่องกรอง XIAOMI MI AIR PURIFIER 3H
  • ไส้กรอง HEPA Filter
  • สายไฟสำหรับจ่ายไฟเข้า
  • คู่มือการใช้งาน

DESIGN

งานออกแบบจริงๆนั้นต้องบอกว่าบอดี้เดิม แต่เพิ่มเติมงานออกแบบทั้งหน้าจอใหม่ รวมถึงช่องลมข้างบนอะไรก็ออกแบบใหม่แต่ถ้ามองผ่านๆนั้นบอกเลยว่าใช้ทรงเดิมตั้งแต่รุ่นแรกครับ จริงๆน่าจะเปลี่ยนอะไรนิดหน่อยแต่ก็พอเข้าใจได้อาจจะเรื่องของไส้กรองที่อาจจะทำให้ใช้งานด้วยกันได้ รวมถึงอะไหล่ที่สามารถซัพพอร์ตได้ยาวขึ้นด้วยครับ ส่วนวัสดุนั้นเป็นพลาสติกทั้งหมดสีขาวด้านยังไม่มีตัวเลือกสีอื่นอะไรและการพกพา การใช้งานขนย้ายอะไรทำได้ดีเช่นเดิม งานออกแบบจริงๆก็เรียบๆคลีนๆดีครับ ไม่ได้ติดขัดอะไรในการใช้งานจริงแต่แยกกับรุ่นเก่ายากนิดหน่อยนั้นเอง ส่วนทางด้านน้ำหนักนั้นเมื่อรวมไส้กรองก็ประมาณ 6.1 กก (รวมไส้กรอง) ก็ถือว่ายังพกพาเคลื่อนย้ายอะไรได้ง่าย ไม่หนักเกินไป

ภาพรวมด้านหน้า และ ด้านหลังนั้นเราจะเห็นว่าด้านหน้านั้นงานออกแบบ แบบเดิมมีหน้าจอใช้งานตรงกลางเป็นวงกลมแต่รอบนี้มาพร้อมกับระบบสัมผัส และ แสดงข้อมูลอะไรสวยงามขึ้น และ ไม่มีปุ่มควบคุมด้านบนแล้วนั้นเอง ส่วนด้านหลังนั้นยังคงเป็นที่ใส่ไส้กรองทั้งหมดอยู่ และ สามารถเปิดออกมาได้ปกติเลย ส่วนข้างบนนั้นจะเป็นที่อยู่ของเซนเซอร์วัดต่างๆครับในการวัดค่าฝุ่นก่อนในภาพรวมของห้อง และ สภาพอากาศในห้องนั้นเอง ที่ด้านหลังเครื่องจะมีปุ่มสำหรับเปิด/ปิดหน้าจอให้ด้วย

ด้านข้างทั้ง 2 ข้างนั้นไม่มีอะไรเลยครับเป็นเรียบๆ และ เป็นรูสำหรับการดูดอากาศเข้าทั้งรอบเครื่องนั้นเองการออกแบบรูดูดอากาศเข้าทั้งหมดรอบเครื่อง ยังคงทำได้ดีเนียนไปกับเครื่อง และดีไซน์ดูสวยเหมือนเดิม และอากาศกรองแล้วจะส่งไปข้างบนตัวเครื่องยิงตรงๆออกไปเลย ไม่มียิงออกมาข้างๆนั้นเองครับ

ด้านบนนั้นเราจะเห็นว่าช่องปล่อยอากาศลมที่กรองแล้วนั้นจะกว้างเต็ม สี่เหลี่ยมมากขึ้นกว่ารุ่น 2S ก่อนหน้านี้ครับ และการที่ใช้งานหน้าจอสัมผัสด้านหน้านั้นทำให้ไม่ต้องมีปุ่มควบคุมข้างบนทำให้ข้างบนปล่อยลมได้เต็มที่มากขึ้นกว่าเดิม ส่วนในฐานล่างนั้นไม่มีอะไร เป็นที่อยู่ของขารองทั้ง 4 มุมและระบบต่างๆของการกรองตัวนี้ครับ และฐานของพัดลมนั้นเองครับปิดเรียบๆไปเลย ก็ถือว่าดีไซน์ในภาพรวมนั้นคงออกแบบได้ดี และใช้งานได้ง่าย

การเปิดฝานั้นก็สามารถเปิดได้ปกติ และไม่ได้มีล็อกอะไรยุ่งยากครับ สามารถดึงไส้กรองออกมาได้เลย ง่ายและสะดวกเลยแหละ จะเห็นว่ามันสามารถดูดอากาศได้รอบทิศทาง ส่วนไส้กรองนั้นเกรดดีขึ้นสีดำ คือเป็นสีของมันนะครับยังไม่ได้ใช้งานก็จะเป็นสีนี้ ชั้นนอกสุด (Pre-Filter), ชั้นกลาง (HEPA-Filter) และชั้นในสุด (Carbon-Filter) ส่วนไส้กรองตรงกลางก็จะกลวงๆ เป็นปกติ สำหรับให้อากาศที่กรองแล้วขึ้นไปข้างบน

หน้าจอนั้นจะเป็นการแสดงข้อมูลทั้งหมด และรวมถึงการสัมผัสวงกลมเล็กด้วยเช่นกันครับ วงกลมเล็กๆนั้นจะเป็นส่วนที่สัมผัสรวมถึงสีที่บ่งบอกถึงสถานะฝุ่น PM2.5 จะมี 3 สี เขียว ส้ม แดงนั้นเองครับ และหน้าจอจะบอกค่าต่างๆรวมถึงข้อมูลฟีเจอร์ หรือการเชื่อมต่อที่เปิดอยู่ หน้าจอใหญ่สะใจมากขึ้น และใช้งานได้ลงตัวกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียว

SPEC 

  • วัสดุ พลาสติกแข็ง PC
  • หน้าจอสัมผัส OLED ด้านหน้าตัวเครื่อง
  • ไส้กรอง True HEPA Class 13 กรองอนุภาคขนาดจิ๋ว 0.3 ไมครอน ได้ถึง 99.97%
  • กรองฝุ่น PM2.5 (2.5ไมครอน) ได้ และ เล็กสุดคือ 0.3 ไมครอน
  • อ่านและตรวจเช็ควัดค่า AQI แบบเรียลไทม์
  • โหมดการใช้งาน โหมด Auto, Sleep, Manual, Low Speed, Medium Speed และ High Speed
  • อัตราการผลิตอากาศบริสุทธิ์ถึง 380 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง (CADR)
  • อายุการใช้งานไส้กรอง 6-12 เดือน
  • ครอบคลุมพื้นที่ได้ถึง 45 ตารางเมตร
  • เสียงการทำงานสูงสุด 32-64 เดซิเบล
  • ควบคุมการทำงาน ผ่านแอปพลิเคชัน Mi Home
  • รองรับการทำงานร่วมกับ Google Assistant และ Amazon Alexa
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n 2.4GHz
  • ขนาดตัวเครื่อง 240 x 240 x 520 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก 6.1 กิโลกรัม (รวมไส้กรอง)

SOFTWARE 

แอปนั้นยังคงใช้งาน Mi Home ที่เราคุ้นเคยและเป็นแอปที่ต้องบอกว่าครอบคลุมการใช้งานหลากหลายมากๆ ในบรรดา IoT ของค่ายนี้ครับ เนื่องจากที่แบรนด์นี้ทำออกมานานมากๆทำให้เรื่องการใช้งานแอปหรือความเสถียรอะไรพวกนี้นำหน้าค่ายอื่นไปชัดเจนเลยทีเดียว ใช้งานง่ายแอปเดียวจบควบคุมได้เยอะมากๆ อีกทั้งรุ่นนี้ยังรองรับการใช้งานสั่งผ่าน Google Assistant ได้ด้วยสามารถใช้งานคำสั่งเสียงสั่งเปิดอะไรได้สบายๆเลยครับ

  • แชร์การควบคุมเครื่องนี้ ให้คนอื่นๆในบ้านได้
  • สามารถสั่งเปิด/ปิดเครื่องได้
  • สามารถเปลี่ยนโหมดการใช้งาน
  • แสดงค่า PM 2.5
  • เปอร์เซ็นการใช้งานไส้กรองคงเหลือ
  • อุณหภูมิ
  • ความชื้นสัมพัทธ์
  • แจ้งเตือนเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพ
  • ตั้งเวลาการทำงานของเครื่องกรอง
  • แจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนไส้กรอง

FEATURE 

หน้าจอนั้นต้องบอกว่า ที่ด้านหลังเครื่องจะมีปุ่มสำหรับเปิด/ปิดหน้าจอให้ด้วย ส่วน การควบคุมผ่านตัวเครื่องนั้นสำหรับใครที่ไม่อยากโหลดแอปให้วุ่นวายก็จะสามารถควบคุมได้ หลักๆเลยนั้นจะเป็นการเปิด/ปิดเครื่องครับ รวมถึงการดูสถานะฝุ่นอะไรพวกนี้สามารถกดดูได้เลย อีกทั้งในเรื่องของการเปลี่ยนโหมดก็สามารถทำได้แบบพื้นฐานเลยนั้นเอง

  • Sleep โหมดที่ให้เสียงเงียบที่สุด เบากว่า Low Speed
  • Manual ตั้งค่าผ่านแอป Mi Home บน Smartphone ได้
  • Auto ปรับความแรงตามฝุ่นในห้อง เบาสุดถึงดังสุดได้
  • Low Speed  พัดลมเงียบ ต่ำเกือบสุด ไม่ปรับความแรงตามฝุ่นในห้อง
  • Medium Speed พัดลมกลาง ใช้ทั่วไป ไม่ปรับความแรงตามฝุ่นในห้อง
  • High Speed พัดลมสูงที่สุด แรงที่สุด ใช้ลดฝุ่น กลิ่นแบบด่วน ไม่ปรับความแรงตามฝุ่นในห้อง

สามารถดู อุณหภูมิหน่วยเป็นองศาเซลเซียส // เปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์ // สัญลักษณ์ของโหมดการใช้งานที่เลือกอยู่ และแน่นอนว่าตัวไฟรอบๆนั้นจะเป็นสีตามสภาพฝุ่นของเรา  สีเขียว ค่าระหว่าง 001-075 คือคุณภาพของอากาศดี, สีส้ม ค่าระหว่าง 076-150 คือคุณภาพอากาศระดับปานกลาง และ สีแดง ค่า 150 ขึ้นไป คือคุณภาพอากาศแย่ นั้นเองครับจริงๆไม่ต้องมีแอปก็พอใช้งานได้เลยแหละ แต่ถ้ามีก็ควบคุมดูอะไรได้ชัดเจนขึ้นไปอีกครับผม

ขอลองใช้งานแบบห้องใหญ่กันครับ ในพื้นที่ประมาณ 40ตร.ม. นั้นเนื่องจากเป็นภายในบ้านฝุ่นประมาณ 58 มีการก่อสร้างข้างๆบ้านครับ และแน่นอนว่าถ้าเราเอาเครื่องวัดฝุ่นไปจ่อที่เครื่องนั้นลมที่ออกมาต้องบอกว่าจัดการได้ดีมากๆในเรื่องของฝุ่น นั้นเหลือ 0.2 ออกมาจากเครื่องข้างบนครับ ส่วนเรื่องกลิ่นนั้นทดสอบจากห้องอาหารที่ทำกับข้าวและปิดห้องหลังทำเสร็จสามารถกรองกลิ่นได้ระดับนึง แต่รู้สึกว่าการจัดการกลิ่นยังไม่ได้มีผลชัดเจนเท่าไรนักครับ ถ้าเทียบตามราคาอาจจะมีตัวที่จำกัดกลิ่นได้ดีกว่านี้อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับเรื่องฝุ่นนั้นถือว่าทำได้ไวเอาเรื่องครับ ตัวนี้ในห้องขนาดนี้ และ เสียงไม่ได้ดังเท่าไรนัก และถ้าเน้นกลิ่นตัวนี้ลองใช้งานในห้องครัวยังไม่เด่นเท่าไรนั้นเองครับ

ทดสอบเวลาในการกรองจับเวลาดูพื้นที่ประมาณ 40 ตร.ม. นั้นใช้เวลาประมาณ 25 นาทีทำให้ฝุ่นจาก 58 มาเหลือ 2 ครับผมถือว่าจัดการได้ไวในการเปิดแบบสูงสุด เสียงดังพอสมควรเลยแต่เน้นเคลียร์ฝุ่นให้ไวครับตัวนี้ ส่วนตัวเครื่องวัดฝุ่นสำหรับ 2.5 เทียบกับตัวอื่นๆนั้นก็ต้องบอกว่าค่ามาตรฐานและค่าทั้ง บนเครื่องและที่วัดนั้นทำได้เท่ากันครับหลังจากฟอกอากาศทั้งหมดแล้วก็จะได้ค่าที่พอกันทั้งหมด จากที่ก่อนหน้านี้ฝุ่นนั้นแตะระดับ 50+ นั้นเองครับ

XIAOMI Mi Air Purifier 3H

”  XIAOMI ยังคงทำประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเรื่อยๆแต่รักษามาตรฐานราคาได้ดี “

เครื่องกรองนั้นต้องย้ำอีกทีเลยว่ายังคงจำเป็นในทุกบ้านครับ การหายใจของคนเรายังคงเป็นจุดที่สำคัญที่สุดแม้จะไม่มีฝุ่น PM2.5 ให้เห็นหนาๆแต่มันยังคงอยู่รอบตัวเรา รวมถึงฝุ่นจากเสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง หรือบ้านใครที่มีเด็ก หรือ ผู้สูงอายุยิ่งจำเป็นครับ แน่นอนว่าการเลือกเครื่องกรองนั้นตามงบเลยถ้าใครงบเยอะจัดตัวเทพๆได้ก็ไม่มีปัญหา แต่สำหรับรุ่นนี้ เทียบราคากับประสิทธิภาพนั้นจับต้องได้ง่าย กรองได้ละเอียดมากขึ้นรองรับฟีเจอร์ได้เยอะ และ ไส้กรองไม่แพงทำให้มันเป็นเครื่องกรองที่ควรมีทุกบ้านเพื่อสุขภาพของเรา เป็นอะไรขึ้นมาแพงกว่านี้แน่นอนครับ มีติดไว้ไม่เสียหาย และราคาในเรทที่ทำออกมาแบบนี้ทำให้จับต้องได้ง่ายทั้ง วัยทำงาน วัยเรียนทุกคนมีติดห้องไว้ได้แบบคุ้มๆนั้นเองครับ จึงเป็นอีกรุ่นที่แนะนำเลยแหละ สำหรับใครที่กำลังหาเครื่องกรองในงบ 5 พันไม่เกินนี้นั้นตัวนี้ตอบโจทย์ได้แน่นอนครับ

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพเทียบราคายังคงทำได้ดี
  • Mi Home ใช้งานง่าย ดูข้อมูลได้ชัดเจน
  • สั่งงานผ่าน Google Assistant ได้
  • ให้ HEPA CLASS 13 มาในกล่อง
  • เสียงการทำงานเงียบพอสมควร ไม่รบกวนเวลานอน
  • หน้าจอใช้งานง่าย แสดงผลได้ชัดเจน
  • เปลี่ยนไส้กรองได้ง่ายและเปลี่ยนเกรดได้
  • ราคาไส้กรองไม่แพงมากเกินไป
  • CADR 380 ลบ.ม./ชม.

ข้อสังเกต

  • ลมออกแต่ข้างบน ไม่สามารถปรับทิศทางได้
  • ดีไซน์ไม่ต่างจากเดิมมากนัก
  • สถานะแสดงผลหน้าจอยังไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้มากนัก

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr