SUBARU แบรนด์ที่หลายๆคนนั้นน่าจะรู้จักกันดีในแบรนด์ที่ทำระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในทุกคันของค่ายตัวเอง และเป็นค่ายรถยนต์ที่โดดเด่นในเรื่องนี้อย่างมาก เรียกได้ว่าอันดับต้นๆของแบรนด์รถยนต์ ญี่ปุ่นก็ไม่เวอร์เกินไปครับ ระบบช่วงล่าง และ ขับเคลื่อนค่ายนี้หลายๆคนได้ลองก็น่าจะติดใจกัน สำหรับ SUBARU เองในไทยก็มียอดขายได้เรื่อยๆไม่ได้น่าเกลียดอะไร รวมถึงก็ยังคงลุยตลาดอย่างต่อเนื่องจะเน้นไปทางรถ SUV มากกว่าทั้ง FORESTER -XV และยังเอาตัวสปอร์ต BRZ ของค่ายมาขายในไทยด้วยนะ และอนาคตอาจจะมี Outback Levorg เข้ามาก็เป็นไปได้ ถือว่ายังคงเดินหน้ายาวๆ และในรุ่น XV จริงๆนั้นถือว่าประสบความสำเร็จมากๆในเจนที่แล้ว เป็นรถยนต์ SUV ขนาดเล็ก ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำราคาได้ดีและดีไซน์ที่มีความดุดัน สายลุย จึงไม่แปลกที่จะเห็นบนถนน เยอะมากๆ และในครั้งนี้มาเป็นรุ่นที่ปรับ Model Change แน่นอนว่าหน้าตาอะไรยังคงมีความคล้ายๆเดิมแต่จริงๆนั้นเปลี่ยนใหม่เยอะมากๆครับทั้งคัน รวมถึงภายใน และ มีรุ่น GT EDITION ออกมาเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษ ที่เราจะมารีวิวกันนั้นเอง

SUBARU XV GT EDITION ตัวนี้จะเป็นรุ่นสูงที่สุดของตระกูลแล้วนั้นเองเป็นการตกแต่งรอบคันพิเศษ ที่อิงสเปกจากตัว 2.0 i-P AWD  แต่เสริมเข้ามาด้วยชุดแต่งรอบคัน สปอยเลอร์หลังคา เบาะหุ้มหนังสีดำ แถบขาว และ กล้องรอบคัน ซ้าย ขวา และล้อ 18 นิ้วนั้นเองที่เสริมเข้ามา แต่ส่วนอื่นๆนั้นยังคงอิงจากรุ่นปกติทั้งหมดเลย มาพร้อมกับเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน  BOXER DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร  156 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด  196 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive ก็ยังคงใช้งานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาเช่นเดิมสำหรับค่ายนี้ ส่วนออฟชั่นอื่นๆก็ยังคงให้มาครบๆครับ ทั้ง ไฟหน้า Projector Lens แบบ LED พร้อมระบบปรับระดับสูง-ต่ำ อัตโนมัติ และ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ รวมถึง ปรับตามวงเลี้ยวได้ด้วย ส่วนทางด้านภายในก็มีทั้ง หน้าจอ ขนาด 8.0 นิ้ว ระบบสัมผัส Touchscreen รองรับ Android Auto – Apple Carplay รวมถึง จอ MID ตรงกลาง และ บนหน้าปัดสำหรับแสดงข้อมูลตัวรถ และ การใช้งานทั้งหมด อีกทั้งยังใส่ใช้งาน X-Mode เข้ามาให้ พร้อมกับ Paddle Shift นั้นเอง เรียกได้ว่าระบบ X-Mode เนี่ยแหละทำให้การลุยมันโดดเด่นกว่าคู่แข่งทันที และ ระบบช่วงล่าง ตัวรถที่สร้างบนพื้นฐาน SGP ที่เป็น Platform ใหม่ทั้งหมดของตัวรถ รวมถึงในอนาคตของค่ายนี้ ทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำ และขับขี่ดีมากขึ้น การกระจายน้ำหนักหน้าหลังดีขึ้นด้วย ทำงานคู่กับระบบขับ 4 แบบ สมมาตรบอกเลยว่าลงตัวมากๆคันนึง

PRICE SUBARU XV 

Subaru XV 2.0 i AWD 1,159,000 บาท
Subaru XV 2.0 i-P AWD 1,259,000 บาท
Subaru XV 2.0 i-P AWD GT Edition ล้อ 17 นิ้ว 1,338,000 บาท
Subaru XV 2.0 i-P AWD GT Edition ล้อ 18 นิ้ว 1,358,000 บาท  คันที่รีวิวในบทความนี้นะครับ 

EXTERIOR

งานออกแบบภายนอกนั้นจริงๆ SUBARU เองก็ถือว่าเป็นค่ายที่อาจจะออกแบบรถไม่ได้มีความล้ำหวือหวามากนัก แต่ก็ยังคงมีความอนุรักษ์นิยมชัดอยู่เหมือนกัน รุ่นนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทรงจากเดิมเท่าที่ควร เลยทำให้อาจจะมีความคล้ายเดิมมากไปนิดหน่อย แต่ในด้านหน้านั้นต้องบอกว่าเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากนะ ทั้งเรื่องของไฟหน้า กันชนหน้า กระจังหน้าต่างๆทำให้ตัวรถนั้นดูไม่ได้เส้นสายคมเท่าที่ควร แต่ก็แลกมากับความโค้งมน ทันสมัยและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นแต่ทั้งเรื่องของขนาด หรือ การยกสูงของตัวรถต่างๆนั้นต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีเช่นเดิม การลุย การคล่องตัวต่างๆนั้นยังคงเป็นจุดเด่นของรถยนต์ขนาดนี้ และเป็นตัวเดียวในบรรดาคู่แข่งที่ ขับ 4 และ สามารถลุยได้จริงๆถือว่าดีครับ

งานออกแบบส่วนตัวชอบการออกแบบ XV มากกว่าFORESTER ในภาพรวม รู้สึกว่าขนาดเส้นสาย การออกแบบมันลงตัวกว่าจริงๆ แต่ยังไงก็แล้วแต่นั้น XV ก็ยังไม่ได้ให้ความรู้สึกทันสมัยหรือแตกต่างกับรุ่นที่แล้วแบบชัดเจนอะไรมากนักส่วนนี้หลายๆอย่างยังคงมีกลิ่นรุ่นเดิมแรงมากเช่นกัน แต่ถ้ามองเป็นจุดๆนั้นไฟหน้า กระจังหน้าทุกๆอย่างพยายามปรับให้มีความเพรียวมากขึ้น โค้งมลมากขึ้น รวมถึงทรงของรถยาวขึ้นแต่ความสูงนั้นเท่าเดิมนะ และพื้นที่ใต้ท้องสูง 200 มม. เลยทีเดียว ยังคงโดดเด่นและใช้งานซู้มล้อสีดำ และการตกแต่ง GT รอบคันทำให้ตัวรถนั้นดูลงตัวขึ้นไปอีก มีความสปอร์ต แต่ก็ดุดันไปในตัวครับ จริงๆ GT ในรุ่น XV สวยกว่ารุ่นพี่ FORESTER เยอะมากนะ อันนี้ลงตัวครับ

ในด้านหน้าเราจะเห็นว่าเส้นสายดุดันเอาเรื่องเลยบนกระโปรงหน้า เล่นกับแสงสีได้สวยงามมีความสันคมแบบรุ่นก่อนเข้ามาชัดเจน แต่เสริมด้วยไฟหน้าแบบเพรียวมากขึ้น และกระจังหน้าที่กระชับมากกว่าเดิม กว้างยาวมากขึ้นทำให้ตัวรถดูเตี้ยแบนกว่าเดิม แม้ความสูงจะเท่าเดิมครับจุดนี้ถือว่าดีและการที่ใส่ GT ทำให้กันชนล่างนั้นดูเป็นสีดำทั้งหมด ตัดขอบกับสีเงินสวยงามเลย  ในด้านท้ายนั้นยังคงสวยงามเสริมกันชนล่างเข้ามา ตัดขอบสีเงิน และ สปอยเลอร์หลังสีดำทำให้ลงตัวทันที จริงๆด้านท้ายรถนั้นออกแบบดีในหลายๆรุ่นนะ แต่ถ้ามองทั้งคันนั้นยังแอบขัดๆอยู่นิดๆนะ  ด้านท้ายยังคมีสีดำขนาดใหญ่เป็นการตกแต่งมาตรฐานพร้อมกับ ไฟตัดหมอกด้านหลังในฝั่งขวาล่างครับ ส่วนอีกข้างก็เป็นไฟทับทิมปกติ แต่ด้านท้ายการที่เสริมสีดำเข้ามาเยอะทำให้ตัวรถดูไม่อ้วนมากเกินไปอันนี้ถือว่าออกแบบได้ดีนะ

รายละเอียดกระจังหน้ายังคงคล้ายกับรุ่นทั่วไปไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรครับ จริงๆเมื่อมองแต่ละส่วนๆตัวรถดูสวยนะ ทั้งกระจังหน้าทรงเอกลักษณ์ พร้อมกับ ตราดาวลูกไก่ ตัดกับโครเมี่ยมนิดๆทำให้ดูหรูขึ้นนิดหน่อย ถือว่าสวยและเป็นกระจังหน้าที่ดีกว่ารุ่นพี่เค้าซะอีกอันนี้ถือว่าดี ไม่มีโครเมี่ยมเยอะเกินไป และเมื่อมองลงมาตรงไฟตัดหมอกก็ทำได้สวย ชายล่างเป็นลิ้นหน้าแบบสปอร์ตแต่ก็ไม่ทำให้ตัวรถเตี้ยเกินไปครับยังคงลุยได้สบายๆ ส่งผลให้รีดอากาศได้ดีด้วย และ กระจกมองข้างนั้นจะเห็นกล้องรอบคันมาให้ใต้กระจกมองข้างครับทำให้ มองซ้ายขวาได้ และมีกล้องรอบคันเสริมเข้ามาจากรุ่นปกติ งานออกแบบยังคงเป็น 2 สีทำให้ไม่ได้ดูหนาเกินไปครับ และเป็นการออกแบบแบบยื่นจากประตูเหมือนเดิม และประตูหน้ายังคงมีเส้นแบ่งเช่นเดิม จริงๆในหลายๆส่วนมันยังคงเป็นการออกแบบที่คุ้นตาครับ

ราวหลังคายังคงใส่เข้าแบบแบบเด่นๆในค่ายนี้พร้อมกับสีเงินด้านสวยงามครับเข้ากับชุดแต่ง GT ได้เป็นอย่างดีเลยแหละ และใช้งานได้จริงด้วยในการขนของหรือเสริมของเข้าไปครับ และในชุดแต่งชายล่างตัวรถก็จะเห็นการเสริมเข้ามาด้วยจะเป็นสีเงินแทรกกับสีดำครับ ซึ่งในรุ่นปกตินั้นจะเป็นสีดำล้วนๆเลยทำให้ตัวรถดูลงตัวขึ้นมาก ถ้าใครไปมองรุ่นธรรมดาจะแอบโล้นๆไปหน่อย และอีกจุดที่ทำให้ท้ายรถนั้นลงตัวมากขึ้นคือ สปอยเลอร์หลังนั้นแน่นอนว่าของเดิมก็มีมาให้ สีดำแล้วแต่จะไม่ได้ยาวยื่นมากนัก แต่พอมาเป็น GT จะมีความยาวมากขึ้น ทรงสวยกว่าเดิมแบบชัดเจนครับ ก็เป็นจุดหลักๆที่ทำให้ราคาต่างกัน 9 หมื่นบาท แต่ก็ได้ กล้องรอบคัน ล้อ ชุดแต่งรอบคันเข้ามาลงตัวขึ้นมากๆครับ

ทางด้านล้อตัวนี้เป็นลายใหม่ 18 นิ้ว ใช้งาน Continental  Ecocontact 6 ขนาด 225/55/R18  ก็ถือว่าคุณภาพอะไรใช้งานได้สบายทั้งการขับขี่ในเมือง ทางไกล หรือว่าจะเป็นลุยนิดๆก็เอาอยู่ครับ ขับในเมืองก็ยังนุ่มไม่ได้บางมากเกินไป แต่ถ้ามองกันตรงๆลายล้อตัว GT แอบดูไม่เข้ากับตัวรถเท่าไรนัก ลายใบพัดแบบนี้ตัดสีดำเงิน มันมีความโค้งมนเยอะมากไปจนไม่เข้ากับสไตล์ตัวรถเท่าไรนัก น่าจะออกแบบให้ดุดันหรือเท่กว่านี้ส่วนตัวชอบลายล้อแบบเดิมมากกว่าซะอีกครับ เป็นจุดหลักๆที่ไม่ชอบเท่าไรในตัวGT นี้ แต่ชุดแต่งอื่นๆนั้นลงตัวกว่าปกติแบบชัดเจน รวมถึงในชุดกันชนด้านท้ายส่วนล่างที่เราจะเห็นการมีการเสริมสีเงินเข้ามาอันนี้จะเป็นเหมือนกับในด้านหน้าและข้างๆทั้งหมด

ไฟท้ายนั้นรูปทรงดูเรียวยาวกว่าเดิม รุ่นก่อนนั้นจะเป็นก้อนๆสั้นๆครับ แต่รุ่นนี้ลงตัวกว่าเดิมไฟท้ายยาวขึ้นพร้อมกับ ไฟเบรก LED ตรงโซนสีขาวข้างใน แต่ ไฟถอย ไฟหรี่ หรือ ไฟเลี้ยวยังคงเป็นหลอดไส้ชัดๆ อันนี้น่าเสียดายมากๆ น่าจะเป็น LED แบบใหม่ทั้งหมดหรือเป็นไฟเส้นได้แล้วนะ ไฟหน้านั้นรูปทรงสปอร์ตมากกว่าเดิม เพรียวบางมากขึ้นพร้อมกับไฟหน้าสีขาว LED Projector ที่รองรับการปรับสูงต่ำ อัตโนมัติ และ เลี้ยวตามพวงมาลัย พร้อมกับไฟสูงต่ำปกติ และไฟเลี้ยวแบบหลอดไส้ พร้อมกับไฟ DRL LED ใส่เข้ามาให้เป็นเส้นสายสวยงามรวมถึงใส่ที่ล้างไฟหน้าเข้ามาให้เหมือนเดิมแม้จะเป็นรุ่นที่ขายในไทยก็ตามครับจุดนี้

ยามค่ำคืนนั้นไฟหน้า ไฟท้ายอาจจะไม่ได้หวือหวาเท่าไรมาส่องกันที่ไฟท้ายนั้นเมื่อเหยียบเบรก จะติดทั้งไฟเบรกดวงที่ 3 และ ไฟเบรกสองข้างครับ จะเห็นว่าไฟตัดหมอกหลังให้มา หลังขวาด้านล่างเท่านั้นเป็นปกตินะครับ รวมถึงไฟหรี่นั้นจะไม่ได้เส้นสายยาวไปถึงข้างในกระโปรงท้าย อันนี้แอบเสียดายน่าจะเป็นเส้นยาวน่าจะลงตัวกว่า ส่วนด้านหน้านั้นเราจะเห็นว่าไฟตัดหมอกสว่างสีขาวอมเหลือง พร้อมกับไฟหน้า LED และ ไฟหรี่แบบ LED DRLครับ รวมถึงไฟเลี้ยวกระจกมองข้างด้วยให้มาครบๆ แต่น่าเสียดายว่าฟีเจอร์พวก Blind Spot หรือ Adaptive Cruise ไม่มีใส่เข้ามา

INTERIOR

ภายในทาง SUBARU เองนั้นถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงชัดเจนถ้าหากเรามองเทียบไปกับในรุ่นนี้แต่เป็นเจนก่อนหน้า งานออกแบบภายในรุ่นนี้ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงเยอะมากทันสมัยมากขึ้นดูเข้ากับยุคสมัยชัดเจน การเล่นลวดลายพื้นผิวอะไรสวยงามแน่นอนว่าด้วยเรทราคาแม้จะไม่ได้เป็นหนังบุนุ่มอะไรทั้งหมด แต่ก็ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าเยอะมากแล้วถ้ามองในแง่ของค่ายนี้ งานออกแบบการจัดวางยังคงไม่ต่างจากเดิม มีหน้าจอตัวบน การปรับแอร์พวกนี้ตำแหน่งที่เเราคุ้นเคยกันดี แต่ดีไซน์ใหม่หมดซึ่งภายในนั้นดีไซน์ใกล้เคียงกับ SUBARU FORESTER รุ่นใหม่เลย หรือเรียกได้ว่ายกภายในกันมาเลยก็เป็นได้แต่ปรับเปลี่ยนนิดๆ และทางด้านหน้าจอก็มีการอัพเกรดขึ้นมาใหม่รองรับ Apple Android ได้สบาย และในรุ่น XV จะมีการตกแต่งเดินด้านสีส้มเข้ามา และ GT นั้นจะได้เบาะออกแบบสีขาวแทรก

ทางด้านกุญแจตัวนี้ยังคงเป็นทรงเดิมที่กดเปิดฝาท้ายได้รวมถึง กดปลดล็อกตรงโลโก้ได้เลย เป็น Keyless Entry ปกติเลยแค่เงื้อมมือเข้าไปเปิดประตูใน 2 บานหน้าครับแต่ 2 บานหลังนั้นจะไม่มีฟีเจอร์นี้นะ  และที่ชอบมากๆคือค่ายนี้จะมีระบบไฟต้อนรับ ถ้าหากเราเดินเข้าไปใกล้รถ ไฟภายในรถจะติดให้ แต่จะไม่ปลดล็อกนะครับต้องเปิดประตูก่อนถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับรถยนต์ยุโรปหลายๆคันเลย แต่อันนี้ให้มาในรุ่น XV บอกเลยว่าชอบฟีเจอร์นี้มากๆครับ

บรรยากาศภายในห้องโดยสารนั้นโปร่งโล่งอย่างมาก ทั้งมุมมองของผู้ขับขี่รถหรือนั่งหลังก็ตามด้วยกระจกที่สูงกว้างมากและขอบประตูที่ต่ำทำให้เราเห็นทุกอย่างจริงๆ และ เหมือนนั่งอยู่ในตู้กระจกเลยจริงๆงานออกแบบแบบนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย แน่นอนว่าข้อดีคือทัศนวิสัยดีมากๆในการขับขี่ มองต่างๆนั้นทำได้ดีเลยแหละ รวมถึงขอบประตูก็มองได้ชัดเจน แต่ก็จะทำให้คนข้างนอกมองเข้ามาได้ง่าย แสงแดดเข้ามาได้เยอะมากกว่าทั่วไปนั้นเอง แต่ถ้าถามความเห็นหลายๆท่านที่นั่งต้องบอกเลยว่า มุมมองแบบนี้ส่งผลดีมากกว่านั่งสบาย ไม่อึดอัด ดูโปร่งโล่งคนนั่งจะชอบมากๆ ในการออกแบบที่โปร่งแบบนี้ และ มุมมอง มุมบอดอะไรพวกนี้ก็จะลดน้อยลงไปได้เยอะพอสมควรเลยครับ จริงๆทั้ง FORESTER XV นั้นจะให้อารมณ์เดียวกันจริงๆครับถือกระจกใหญ่ๆตั้งชันไม่ได้สปอร์ตมากนัก และสว่างมากๆ

การออกแบบคอนโซลกลางเมื่อมาดูชัดๆจะเห็นว่าออกแบบมาสมมาตร ซ้ายขวาได้ดี และตำแหน่งหน้าจออยู่ในระยะที่ใช้งานสัมผัสได้ กดใช้งานได้รวมถึงมองได้ไม่ต่ำหรือสูงมากเกินไป มีจอแสดงข้อมูลต่างๆส่วนบนสุดเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ในการแสดงสถานะการขับขี่ และ ที่ชอบคือการใส่ใจเวลาเปิดไฟ ไฟเลี้ยว เบรก พวกนี้จะติดในกราฟิกทั้งหมดเลยครับ รวมถึงเวลาเข้า X MODE จะปรับให้เห็นองศาเวลาขับลุย หรือ ระดับน้ำของตัวรถว่าเอียงแค่ไหน จอหลักตรงกลางนั้นรองรับ Android Auto – Apple Carplay ทั้งหมด สัมผัสเต็มรูปแบบ ขนาด 8.0 นิ้ว ใช้งานได้ดี รองรับกล้อง 360 องศาได้ มีเมนูภาษาไทย และสัมผัสใช้งานได้ดีไม่หน่วงหรือเอ๋ออะไรครับตรงนี้ค่อนข้างโอเคเลย

คอนโซลกลางต่างๆนั้นมีการเล่นโทนสีดำเงาตัดกับสีเงินด้านสวยงามพอสมควร แน่นอนว่ารุ่นนี้จะมีปุ่ม X-Mode และฐานเกียร์นั้นเป็นแบบปกติทั่วไปครับมี โหมด M มาให้ในการขึ้นลงเขาหรือจะเล่นเกียร์สนุกๆก็ได้ แม้เครื่องจะไม่ได้หวือหวาก็ตาม เล่น + – ที่ Paddle Shift ได้เลยตรงพวงมาลัย และในตัวการควบคุมแอร์นั้นจะเป็นแยกซ้าย ขวา กันและสามารถซิงค์ได้รวมถึงรองรับ AUTO อะไรได้ปกติใช้งานได้ง่ายแบบเดียวกับรุ่น FORESTER ทั้งหมดครับ แต่การปรับ X-MODE นั้น FORESTER จะได้มากกว่าหลากหลายโหมดได้มากกว่านั้นเอง ทางด้านพวงมาลัยนั้นจะเป็นตัวเดียวกับ เลยนั้นเองรูปทรงอะไรเหมือนกันทั้งหมด รวมถึงปุ่มต่างๆในการควบคุมถือว่าจัดเต็มทั้งการควบคุมเครื่องเสียงต่างๆ การตั้งค่าระบบ Cruise Control การตั้งค่าหน้าจอหลัก หน้าจอเรือนไมล์ทั้งหมด และ ใช้งานอาจจะปรับตัวกันนิดนึงนะ รูปทรงของพวงมาลัยอะไรนั้นจับได้ถนัดกำลังดีและใช้งานโอเคอย่างมากไม่มีปัญหาอะไร เซ็ตพวงมาลัย คมขับขี่ค่อนข้างไว้ใจได้ไม่เบาไม่หนักถือว่าเป็นพวงมาลัยที่เซ็ตมาแบบลงตัวไม่ต้องไปทำอะไรกับมันอีกแล้ว ขับทางไกล ในเมืองถือว่านิ่งและคล่อง เรือนไมล์นั้นเป็นแบบเข็มปกติครับดีไซน์กลางๆธรรมดาไม่ได้หวือหวาอะไรมาก จอกลางมีอนิเมชั่นเวลาตั้งค่าระยะรถต่างๆรวมถึงแจ้งเตือนทั้งหมด และ มีข้อมูลการขับ ระยะทาง รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองทั้งหมดจอแสดงผลได้ทั้งหมดเลย และจะเห็นว่ามีจอกลางด้านบนเข้ามาช่วยอีกส่วนครับตรงนี้

ตัวเบาะนั่งข้างหน้านั้นถือว่ารูปทรงไม่ได้กระชับมากนัก แต่ก็เป็นทรงที่นั่งสบายไม่อึดอัดอะไรครับแต่เอาจริงๆเวลาเข้าโค้งเทโค้งแรงๆนั้นอาจจะมีไหลได้ง่ายเหมือนกัน เน้นนั่งสบายมากกว่า มีความนุ่มกำลังดีและเข้าขึ้นลงได้ง่าย อีกทั้งการออกแบบขอบประตูไม่เลอะขากางเกงแน่นอน เพราะหุ้มไปข้างล่างและไม่มีสันขอบให้เลอะขากางเกงเลย ส่วนประตูอะไรก้าวขึ้นลงได้สบายๆไม่มีปัญหาอะไร ตัวเบาะไฟฟ้าทั้งหมด แต่น่าเสียดายว่าไม่มี Memory Seat ตัวเบาะรองขาระยะกำลังดี พนักพิงหัวนั้นไม่ได้ดันอะไรมาก ถือว่านั่งขับไม่มีปัญหาอะไรรองรับได้ดีในภาพรวม และตัวเบาะนั้นเป็นตัวเดียวกันกับ SUBARU FORESTER แต่เราจะเห็นการตกแต่งด้านสีส้มเข้ามาพร้อมกับแทบสีเทาๆขาวๆนิดๆเสริมเข้ามาในเบาะครับแค่นั้นเลย ส่วนการปรับนั้นเป็นไฟฟ้าข้างคนขับ และ คนนั่งจะเป็นแบบเบาะปรับมือ

เบาะหลังนั้นคงจะเป็นจุดสำคัญที่คนจะตัดสินใจเลือกระหว่าง FORESTER XV เพราะว่าทั้งพื้นที่การนั่ง การรองรับเบาะการเอียงเบาะ รุ่น FORESTER ทำได้ดีกว่าชัดเจน แต่ที่พิงศรีษะอะไรนั้นแอบคล้ายกันแต่รุ่นนี้จะมีเสริมสีขาวเท่าเข้ามานั้นเองครับ ถ้าถามว่าตัว XV นั้นได้ประมาณไหนก็ต้องบอกว่าสบายกำลังดีครับสำหรับแอดมินแต่ 2 คนกำลังสบายๆนะ ตรงกลางอาจจะไม่สบายเท่าไรนัก ส่วนพื้นที่วางขำกำลังโอเคไม่ได้กว้างมากนักแต่ก็ไม่ได้อึดอัด จริงๆการที่ออกแบบกระจกกว้างๆของค่ายนี้ช่วยได้เยอะครับในความโปร่งโล่งของตัวรถเวลามีคนนั้งข้างหลังแล้วเรื่องมุมมอง และ รุ่นนี้จะไม่ได้มีแอร์หลังอะไรมาให้นะครับ รวมถึงไม่มีพอร์ตชาร์จอะไรใส่เข้ามาให้เลยในด้านหลังในรุ่นนี้ แน่นอนว่าในความหวือหวา การตกแต่ง ฟีเจอร์พวกนี้ XV จะค่อนข้างน้อยกว่าคู่แข่งเยอะมากๆ รวมถึงไม่มีหลังคากระจกด้วย

เส้นด้ายในรุ่น XV นั้นเราจะได้การเดินด้านสีสมเข้ามาทั้งหมด และมีการตกแต่งสลับกับลาย คาร์บอนในหลายๆส่วนของตัวรถ ก็ถือว่าทำให้ดูมีอะไรมากกว่าเดิมครับ แต่พวกไฟ Ambient Light อะไรนั้นถือว่าไม่มีใส่เข้ามาให้เลย

ความจุสัมภาระ 35 ลิตร ถึง 1,240 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง) สามารถพับได้แบบ 60/40 นะครับและในรุ่นนี้มาพร้อมกับที่บังแดดสัมภาระข้างหลังด้วย รวมถึงมีไฟ led สีขาวสำหรับส่องข้างหลัง และยังคงใส่ล้ออะไหล่เข้ามาและมีพื้นที่เก็บของนิดๆ แต่ด้วยการที่มีล้ออะไหล่และต้องการให้พื้นสัมภาระนั้นเรียบไปทั้งหมดทำให้มันอาจจะไม่ได้ลึกเท่าไรครับขอบพื้นที่เก็บของจะเท่ากับขอบประตูหลังเลยไม่ได้มีส่วนเว้าเข้าไป อาจจะดูตื้นๆไม่ได้ลึกเท่าที่ควรเท่าไรนัก แต่ถ้าถามว่าดีกว่ารุ่นเดิมไหมแน่นอนว่ายาวกว่า และจุได้มากกว่าแน่นอนครับ ถือว่าแก้จุดด้อยของเดิมได้เป็นอย่างดี

งานแสงสีภายในรุ่นนี้อาจจะไม่ได้หวือหวาเท่าไรนักถ้ามองเทียบคู่แข่งหรือ เส้นสายแสงสีที่หลายๆค่ายพยายามใส่ Ambient Light เสริมเข้ามาทำให้ไฟยามค่ำคืนไม่มีอะไรมากนัก ไม่มีไฟส่องเท้า ไม่มีไฟขอบประตูอะไรให้มาครับ จะมีแค่ไฟตามปุ่มกด สีแดง และไฟห้องโดยสาร LED สีขาวเท่านั้น ส่วนไฟแต่งหน้ายังคงเป็นสีส้มหลอดไส้เช่นเดิม

จะเห็นว่าไฟส่องเท้าอะไรนั้นรุ่นนี้ไม่ได้ใส่เข้ามาให้ทั้งหน้าและหลัง รวมถึงไฟส่อง Ambeint Light ตรงกลางรถก็ไม่ได้ใส่เข้ามาแบบรุ่นพี่ครับ แต่ส่วนตัวชอบการที่ใช้งานปุ่มสีแดงแบบนี้แอบดูสปอร์ตนิดๆครับ แต่หลายๆคนอาจจะมองว่าดูย้อนยุคไปหน่อย ถ้าปรับเป็นสีฟ้าแบบ LED น่าจะดูทันสมัยมากขึ้นไปอีกแนวนึงได้เลย ส่วนไฟ LED สีมันอาจจะออก ขาวฟ้าไปนิด จริงๆแอบอยากได้สีขาวนวลตามากกว่านี้ในการใช้งานจริงๆจะดูนุ่ม หรูมากกว่าสีโทนนี้

ENGINE

ทางด้านเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน Boxer ขนาด 2.0 ลิตร 1,995 ซีซี. Direct Injection กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT 7 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD Symmetrical All-Wheel Drive รองรับน้ำมันสูงสุด E10 แน่นอนว่าถ้าหากใครจำกันได้เครื่องตัวนี้จะคุ้นๆกันอยู่ในทั้งตัว FORESTER รุ่นปัจจุบัน แต่มีการเปลี่ยนภายในกันนิดหน่อยให้มันดีขึ้นนั้นเอง ถือว่าเป็นเครื่องที่ใช้มานาน ปัญหาค่อนข้างน้อยไว้ใจได้เลย เครื่อง Boxer ของค่ายนี้ถือว่ามีเด่นๆเลยคือเรื่องของสูบแถวนอนแบบนี้ค่อนข้างแตกต่างกับค่ายอื่นมากๆ และข้อดีของการวางเครื่องแบบนี้คือต่ำอย่างมากทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำ  ส่งผลต่อการขับขี่และความปลอดภัยเมื่อเกิดการชนด้วยเช่นกัน

แต่ในเรื่องของอัตราเร่งอาจจะต้องบอกกันว่าไม่ได้ทันใจมากนักแต่ก็พอไหว  กำลัง 156 แรงม้า นั้นถือว่าพอตอบสนองต่อพ่อบ้านขับรถชิลๆที่อยากจะแซงบ้างเป็นบางครั้งได้ดี รวมถึงแม่บ้านทั่วไปขับรถสบายๆไม่ได้สายซิ่งบอกเลยว่ากำลังมันเหลือๆ และ ยังไปแบบเนิบๆได้จนเร็วไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว แต่ถ้าพ่อบ้านสายซิ่ง ตัวนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์เลยในการเร่ง0-60 ค่อนข้างอืดไม่ทันใจเท่าไรนัก แต่ถ้าช่วง 60-120 อันนี้บอกเลยว่าไม่ยอมใครเช่นกันครับ มาเต็มๆแน่นๆแบบเนียนๆไม่ได้ดึงหลังติดเบาะมากนัก ช่วง 120-160 ก็ค่อยๆไหลไป แต่ถ้า 150-160 เป็นต้นไปคือหมดแล้ว กำลังหายไปแบบชัดเจน เริ่มขึ้นไม่ไปมากกว่านั้นเท่าไร แต่เกียร์นั้นก็พัฒนาขึ้นไม่อืดแบบรุ่นก่อนและรวมถึงเครื่องตอบสนองได้ดีขึ้นนะ แต่ก็ยังไม่ได้ทันใจมากเท่าที่ควร จริงๆมันคือทุกอย่างแบบเดียวกับ FORESTER แต่บอดี้กระชับมากขึ้นถ้าถามว่าขับสนุกกว่าไหม ส่วนตัวว่าไม่เท่าไรแต่คล่องตัวมากขึ้น แต่อาการเร่งแบบไม่ได้หวือหวายังคงคล้ายกันทั้งหมดครับ แต่ถ้ามองนอกเหนือจากเครื่องบอกเลยว่า ช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อนตัวนี้คือที่สุดในคู่แข่งทั้งหมด

DRIVING

SUBARU เป็นรถยนต์ที่สำหรับคน รักการขับขี่อย่างแท้จริง ถ้ามองแค่สเปก ออฟชั่น มันไม่ได้มีความน่าดึงดูดอะไรจากคนที่กำลังซื้อ แต่ถ้ามองเรื่องการขับขี่ เป็นตัวเดียวในตลาดที่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ และได้ช่วงล่างเทพๆ พร้อมกับ X-Mode จุดนี้แหละ ที่จะทำให้ XV เริ่มโดดเด่นขึ้นมา แต่มันจะส่งผลต่อการขับขี่ ต่างจังหวัด การเข้าโค้งแบบหนักๆ จะเริ่มรู้เลยว่า ช่วงล่างเค้าเหนือกว่าคันอื่นอย่างแท้จริงครับ ในรุ่นนี้เป็นการขับ 4 แบบเท่ากันทำให้เรื่องของช่วงล่างการขับเคลื่อนเป็นรถญี่ปุ่นที่ทางผมเองนั้นไว้ใจมากที่สุดในการที่จะหยิบกุญแจไปลุยหน้าฝนในการขับขี่ทางไกล มันมีความมั่นใจแบบบอกไม่ถูกเวลาขับลุยฝนซึ่งค่ายนี้ทำออกมาได้เกินหน้าเกินตาค่ายอื่นในเรทราคานี้อย่างมาก อันนี้คือประทับใจที่สุดครับ รวมถึงช่วงล่างในการขับขี่ทางไกลมีอาการโยนน้อยถึงน้อยมากแม้ตัวรถจะสูงกว่าเพื่อนขับจริงช่วงล่างมันคือที่สุดในแง่ของรถญี่ปุ่นในเรทราคาที่ สามารถให้ความมั่นใจได้ดีเมื่อทำงานร่วมกันกับการขับ4ของค่ายนี้ทำให้ประทับใจจริงๆ มันมีความนุ่มและแน่นหนักแบบรถยุโรปได้ดี นั่งยังสบายแต่ยังคงเข้าโค้งเกาะได้ดีเช่นเดียวกันครับในส่วนของช่วงล่าง ถ้ามองเทียบกับบรรดาคู่แข่งทำให้กล้าพูดว่า ช่วงล่างเวลาเข้าโค้ง ตัวนี้ทำได้ดีที่สุด

การเก็บเสียงนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีระดับนึง แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้เงียบสุดเพราะเสียงเครื่องบางช่วงก็แอบเข้ามาแบบชัดเจน รวมถึงเสียงลมที่เข้ามามากพอสมควรด้วยกระจกที่กว้างใหญ่กว่าค่ายอื่นๆก็เป็นจุดที่ลมจะเข้ามาได้ง่ายชัดเจนกว่าด้วย แต่ถ้าความเร็วช่วง 70-110 ประมาณนี้ถือว่าเงียบแบบโอเคอย่างมาก สามารถขับได้แบบไม่เอะใจอะไร ในแง่ของพวงมาลัยตัวนี้เซ็ตมาลงตัวที่สุด ขับในเมือง นอกเมืองในความคมแม่นยำ และ ควบคุมได้ง่ายมาก อีกทั้งในการเปลี่ยนเลนต่างๆในเมืองก็ยังคงให้ความสะดวกสบายอยู่ แต่ก็ขับทางไกลก็มีระยะเซ็ตอะไรมาลงตัวถือว่าดีกว่า ทำให้ในภาพรวมการขับขี่แอบคล้าย FORESTER ทั้งหมด แต่จะได้ความคล่องตัวเวลาเข้าโค้ง เลี้ยวพวกนี้เข้ามามากขึ้น ส่วนตัวการขับขี่ในเมืองนั้นสบายๆมีความนุ่มในตัว ไม่แข็งกระด้างแม้จะมีช่วงล่างที่แน่นหนึบแบบนี้ครับ  และการลุยนั้นการขับบนถนนหรือดินร่วนๆก็สามารถเอาอยู่แบบไม่ต้องกังวลเมื่อเปิดใช้งาน X-MODE ก็สามารถปรับแรงบิดแรงทดได้ดีไม่มีอาการลื่นไหลหรือติดขัดแต่อย่างใดเวลาขับลุยพวกนี้ จึงทำให้มันลงเนินสูงๆได้แบบช้าๆเนียนๆไปครับบอกเลยว่าเป็นระบบที่หลายๆคนอาจจะไม่รู้ถึงข้อดี แต่ถ้าสายลุยหรือเจอถนนดินทรายจะเห็นชัดครับ

CONSUMPTION

ในส่วน อัตราการสิ้นเปลืองนั้นในรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ BOXER 2.0 ลิตร รหัส FB20 จากที่ทดสอบในการขับขี่นั้นโดยปกติทางเราจะทดสอบแบบใช้งานจริงทั้งหมด ทั้งการขับขี่ในเมือง และ นอกเมืองในโหมดปกติและ S Mode ครับแน่นอนว่าด้วยพละกำลังและทรงของรถถือว่าทำได้ดีกว่าที่คิดไว้พอสมควรเลยแหละ ในการใช้งานในเมืองนั้นจะทำได้ 9 กิโลต่อลิตร ในการขับรถติดๆทั่วไปใช้งานทั่วไปไม่ได้ขับทางไกล แต่ถ้าหากเราขับขี่ทางไกล ซัดแรงๆบ้างความเร็ว 120+ ประมาณนี้ถือว่าทำได้ดีพอสมควรเมื่อเทียบกันจะได้ประมาณ 11 กิโลต่อลิตร แต่ถ้าขับแบบทั่วไปโหมดปกตินั้นจะทำได้ประมาณ 11.7  กิโลลิตรในความเร็วไม่เกิน 110 ประมาณนี้ และ ขับแบบไม่ได้โหดอะไรมากนัก จริงๆอัตราสิ้นเปลืองแอบกินเหมือนกันถ้ามองเทียบกับขนาดตัวรถ แต่มันจะไปใกล้ๆกับ FORESTER เลยครับ

SURABRU XV GT EDITION

” ช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อน คือที่สุดในคู่แข่ง ขอเครื่องยนต์ ออฟชั่นเต็มกว่านี้ คือจบ “

SUV ขนาดเล็กมาพร้อมกับช่วงล่าง การขับเคลื่อนที่ดีที่สุด แต่ด้วยฟีเจอร์ พละกำลัง ออพชั่นมันไม่โดดเด่นทำให้หลายๆคนอาจจะพลาดของดีไป แน่นอนว่าถ้าขับในเมืองอาจจะไม่ได้ใช้งานขับ 4 เท่าที่ควรแต่ถ้าเมื่อไรไปต่างจังหวัด เข้าโค้ง หรือลุยๆนิดหน่อยจะบอกเลยว่า มีขับ 4 ดีกว่าไม่มี และยิ่งได้ช่วงล่าง การกระจายน้ำหนัก ทำให้มั่นใจมากขึ้นทั้งเรื่องของการเข้าโค้ง การควบคุมความปลอดภัยในการขับขี่ครับ แต่ส่วนที่น่าเสียดายอาจจะเป็นพละกำลัง 0-100 หรืออัตราเร่งมันไม่ได้หวือหวาเท่าไรนัก และ ออฟชั่นฟีเจอร์พวกนี้มันน้อยกว่าคู่แข่งรวมถึงหรูหรา ในการตกแต่ง หลังคากระจก ไฟต่างๆหรือระบบความปลอดภัย Active Safety ที่น้อยกว่าตัวอื่นๆนั้นเองครับ แต่ถ้าถามว่า มันพัฒนาขึ้นจากเดิมเยอะไหมบอกเลยว่าปรับเยอะมากๆแล้ว แต่ถ้าเทียบกับหลายๆตัวน่าจะสู้ได้สูสีกว่านี้ ถ้าไม่ได้ลองขับ บอกเลยว่าตัวนี้อาจจะไม่ได้อยู่ในตัวเลือก แต่ถ้าได้สัมผัส ลองขับเข้าโค้ง SUBARU ไม่ทำให้ผิดหวัง

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

By Nineztr