Jeep ถือว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ที่หลายๆคนนั้นรู้จักกันอย่างแน่นอนเป็นแบรนด์ที่เริ่มต้นมาจาก อเมริกา ซึ่งเดิมๆนั้นจะเป็นรถยนต์ที่ใช้งานในทางทหารในยุคแรกๆก่อนที่จะมี HUMVEE ออกมา ก่อนหน้านั้นต้องบอกเลยว่า JEEP เป็นรถยนต์คู่ใจของทหารแน่นอน และ ในรุ่นจี๊ปวิลลีย์ ก็เป็นตำนานแรกๆก่อนที่จะมาจนถึงวันนี้ในชื่อ WRANGLER นั้นเอง ซึ่งทาง Jeep เองก็ได้สานต่อหน้าตางานออกแบบ จากยุคแรกจนมาถึงยุคนี้ได้ดีเลยนะ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบให้ทันสมัยมากขึ้นเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น แต่หน้าตาแบบนี้บอกเลยว่ามองไกลๆก็รู้ว่าแบรนด์ไหนครับ ส่วนทางด้าน GLADIATOR เองนั้นก็เป็นชื่อ ตำนานกระบะของค่ายเมื่อยุคก่อน ในรหัสตัวถึง SJ ในช่วงปี 1970 ประมาณนั้น ในยุคเดียวกับ Grand Wagoneer นั้นเอง และในปีนี้ทาง Jeep เองก็สานต่อตำนานของตัวเองใหม่ทั้งหมด ทั้ง GLADIATOR กระบะของค่าย และ รถหรูที่สุดของค่าย Grand Wagoneer นั้นเอง ซึ่งในไทยต้องบอกเลยว่าห่างหายการทำตลาดแบบ OFFICIAL ในไทยไปนานมากๆตั้งแต่ยุค Grand Cherokee WJ ประมาณปี 2006 ครับ และก็หายไปจากตลาดไทย จนวันนี้ทาง PS JEEP THAILAND ได้เป็นตัวแทนทางการแห่งเดียวในไทยตอนนี้ และนำเข้า JEEP WRANGLER – GLADIATOR มาขายแบบ OFFICIAL และ จะมีรุ่นอื่นๆมาอีกแน่นอนครับทั้ง COMPASS และ GRAND CHEROKEE บอกเลยว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของแบรนด์สายลุยจริงๆ
ในการทดสอบครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็น EXCLUSIVE ทดสอบกันแบบด่านๆ และเป็นสนามทดสอบของทาง JEEP THAILAND ในอนาคตที่จะเปิดตัวขายกันทางการนั้นเอง แต่วันที่เรามาทดสอบนั้นเป็นรอบแรกๆ ก่อนที่สนามนั้นจะสร้างเสร็จแบบ 100% ครับเพราะว่าถ้าเสร็จแล้วนั้นจะมีหลากหลายด่าน ลุยน้ำ ทดสอบอะไรได้อีกเยอะมาก แต่ครั้งนี้เป็นการทดสอบขับคร่าวๆกัน เดี๋ยวสนามเสร็จเมื่อไรนั้น รอติดตามแบบเต็มๆได้เลยครับ ส่วนคันที่เราได้ลองนั้นจะเป็นตัวกระบะ ตำนานของค่าย JEEP GLADIATOR รุ่นย่อย RUBICON คือรุ่นย่อยที่ลุยที่สุดของค่าย ใช้งาน MT ยกสูงกว่าทั่วไป และ ใช้ FOX สำหรับระบบช่วงล่างทั้งหมดจะทำใหม่เพื่อรองรับสายลุย รวมถึง การตกแต่งภายนอก ภายในที่เป็นสายลุยทั้งหมด พร้อมกันชนแบบในภาพครับ รวมถึงเป็นรุ่นที่จัดเต็มที่สุดของ JEEP GLADIATOR และรุ่นย่อย RUBICON นั้นจะมีจุดที่พิเศษที่สุดคือ SWAY BAR สำหรับปล่อยให้ล้อนั้นตกลงมา เวลาติดหล่ม หรือ ตกร่องพวกนี้ ล้อจะตกลงมาต่ำกว่าตำแหน่งปกติเพื่อที่จะ ตะกายขึ้นไปได้ด้วยนั้นเองถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่โหดมากๆตัวนึง
MINI TRACK TEST
Jeep Gladiator Rubicon คันที่เอาเข้ามาขายในไทยนั้นจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน V6 ความจุ 3.6 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ หรือธรรมดา 6 จังหวะ กำลังสูงสุดมีให้ใช้ 285 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 35.8 กก.-ม. และคันที่เราขับรุ่นท๊อปอย่าง Rubicon ซึ่งจะมากับช๊อคฯ FOX, ไซด์บาร์เต็มแผง, กันชนหน้า/หลังเฮฟวี่ดิวตี้ และยางดอก Mud-Terrain ของ Falken ขนาด 33 นิ้ว และเป็นค่ายที่สามารถเปิดหลังคา พับกระจกหน้า ถอดประตูได้ทั้งหมดเลยนั้นเองครับ ต้องบอกว่าเป็นเอกลัษณ์ของทาง WRANGLER – GLADIATOR เลยก็ว่าได้ครับทั้ง การเปลือยหลังคาทั้งแบบฮาร์ด/ซอฟท์ท๊อป, ประตู และการพับกระจกบังลมหน้า และมี SWAYBAR ที่สามารถเปิดเพื่อทำให้รถนั้นมีความยืดหยุ่นเอียงขึ้นไต่เขาได้มากขึ้นเมื่อเจอเนินข้างเดียวหรือหลุมอะไรพวกนี้สบายมากๆครับ
จากภาพด้านบนนั้นเราจะทดสอบ SWAYBAR เลยนั้นเองจริงๆในชื่อเต็มๆนั้น Sway Bar Quick Disconnect หรือถ้าพูดกันในภาษาไทยมันคือ ตัวกันโคลงหน้าแบบปลดได้ แบบไฟฟ้าครับ แน่นอนว่ามีประโยชน์มากๆ สำหรับการเดินทางที่ต้องการการทิ้ง ให้ตัว ของรถมากๆ พวกเนินสลับ หรือ ร่องน้ำหรือหลุมลึกๆทำให้ตัวรถเอียงได้มากที่สุด แต่ฟีเจอร์นี้จะมีแค่ RUBICON และ ใช้งานได้ในความเร็วต่ำมากๆและสายลุยเท่านั้นครับ แต่เป็นฟีเจอร์ที่เด่นมากๆเลย ส่วนระบบขับเคลื่อนของทาง Jeep นั้นขึ้นชื่ออยู่แล้วในระบบขับ 4 ของทางค่ายที่ให้แรงฉุดลากสูงที่สุด ในรถยนต์ระดับเดียวกันที่ 3,469 กิโลกรัม รองรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 725 กิโลกรัม ช่วงล่างพร้อมลุยด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Command-Trac และ Rock-Trac พร้อมระบบล็อกเฟืองหน้า – เฟืองหลัง, Trac-Lok limited-slip differential และกันโคลงแบบไฟฟ้า เรียกได้ว่าค่อนข้างจัดเต็ม และ ในไทยก็เอาฟีเจอร์มาครบๆทั้งคันเลย
จากที่ทดลองขับนั้น Jeep ในยุคใหม่ต้องบอกว่าแอดมินเองก็ขับ Jeep เป็นรถยนต์ส่วนตัวอยู่แล้วและก็มีหลากหลายรุ่นในยุคที่เอาเข้ามาขายในไทย และ ต้องบอกเลยว่า Jeep ยุคใหม่นี้เป็นรถยนต์ที่ขับง่าย เงียบ แต่พละกำลังมหาศาลเช่นเดิมครับ ในยุคก่อนเราอาจจะมองกันว่า Jeep ขับยาก ความร้อนสูง แต่ในรุ่นใหม่ที่ทาง Jeep เอาเข้ามาขายในไทยนั้นได้มีการปรับระบบระบายความร้อนใหม่ สำหรับประเทศโซนนี้ และทำให้ใหญ่ขึ้นระบายได้ดีขึ้นเช่นกันครับ ถือว่าเป็นเรื่องดีมากๆ และออกแบบมาได้ขับง่ายขึ้นทำให้การลุยนั้นเหมือนกับขับรถทั่วไปจริงๆ การเฉลี่ยน้ำหนักพวงมาลัยเวลาขับ 2 หรือ ขับ 4 นั้นสบายๆ และควบคุมได้ง่ายไม่ได้หนักหรือหนืด และก็ไม่ได้เบาเกินไปด้วยครับ
ด้วยความที่เป็น RUBICON ทำให้เรื่องของการขึ้นลง เนินนั้นสบายๆครับระยะตัวรถที่ยกสูงกว่าทั่วไป 2 นิ้วทำให้สามารถไต่เนินสูงๆได้สบายแน่นอนว่าแม้ตัวรถจะมีฐานล้อที่ยาวมากๆก็ตามแต่ GLADIATOR ก็สามารถลุยได้สบายๆครับ จากที่ได้มาตรฐาน trail-rated แน่นอนว่าเป็นกระบะค่ายเดียวที่ผ่านการทดสอบแบบนี้ครับ ทำให้แม้ตัวรถจะยาวอะไรยังไงในการลุยนั้นไม่มีปัญหาเท่าไร แต่การขับในเมืองอาจจะต้องกะระยะดีๆนิดนึง ส่วนมุมองการขับขี่ด้วยความที่ตัวรถนั้นค่อนข้างสูง และกระจกเน้นความโปร่งอย่างมาก บานเล็กแต่มีความชันก็รองรับมุมมองได้มีรวมถึงมีกล้องหน้าหลัง ช่วยในการลุยได้ดีขึ้นในมุมแหงนแบบนี้ครับ ส่วนทางด้านแรงบิดอะไรนั้นสบายๆอยู่แล้วสามารถขับขึ้นเนินแบบนี้โดยที่ไม่ต้องกดอะไรเยอะและการขับเคลื่อน 2 ล้อก็ผ่านไปได้สบายๆครับสำหรับสนามแบบนี้ ยกเว้นการเจอโคลนเละๆแบบนั้น จึงจะเริ่มทำงาน 4 ล้อ ซึ่งเอาจริงๆ 2 ล้อก็สามารถขับลุยได้ทั้งหมดแล้ว ยกเว้นเจอหลุมหรือดินเละมากจริงๆนั้นเอง ส่วนการควบคุมในการลุยระยะวงล้อแอบกว้างนิดหน่อยเพราะด้วยตัวรถที่ยาวแบบนี้ก็พอเข้าใจได้ครับ
Jeep ทำรถยนต์สายลุยออกมาก็จริง แต่ในช่วงต้นหรือความเร็วพละกำลังของมันสามารถขับความเร็วเร่งได้ดีมากๆแม้จะเป็นยาง MT และรูปทรงต้านลมขนาดนี้ก็ตามครับเท่าที่ลองเหยียบสั้นๆรู้สึกเลยว่าแรงดึงมาเยอะมากจริงๆสมกับรถสายลุยและสามารถลากอะไรได้เยอะแยะมากมายเช่นกัน ที่ทำให้เป็นกระบะแต่ลุยได้โหดแบบนี้แม้ตัวรถจะยาวแบบนี้บอกเลยว่าไม่ค่อยมีครับ ถ้ามองในแง่ของความอิสระในการลุย ระยะทิ้งช่วงเอียงต่างๆ การถอดประตู หลังคา กระจกหน้าได้ทั้งหมด ทำให้มันมีความโดดเด่นกว่าตัวอื่นๆ รวมถึงช่วงล่างที่หลังจากลองบอกเลยว่าแน่นๆรองรับการลุยได้ดีและมีความนิ่งในตัวครับ เป็นกระบะที่ขับง่ายและแอบสบายกว่าที่คิดไว้เยอะเหมือนกันให้ความรู้สึกแบบเดียวกับรุ่นอื่น
DESIGN
งานออกแบบถ้าเรามองไปยัง GLADIATOR รุ่นแรกนั้นจะเป็นการอิงงานออกแบบจาก WAGONEER รุ่นใหญ่ดีไซน์จะเป็นกระบะทั่วไปมากกว่านี้ แต่พอตำนานกลับมาแบบนี้แน่นอนว่าการไปใช้งานหน้าตาแบบนั้นอาจจะดูธรรมดาไป ทาง Jeep เองเลยสายต่อตำนานกระบะของค่ายตัวเองแต่ใช้งานธีมออกแบบเดียวกับตระกูลตำนานของค่ายคือ WRANGLER นั้นเอง ทำให้เราจะเห็นเลยว่างานออกแบบทั้งหมดเหมือนกับตัว WRANGLER RUBICON นั้นเองแต่ถ้ามองด้านข้างไปจนถึงด้านหลังอันนี้จะเริ่มมีความแตกต่างกันแล้วถ้ามองเทียบกับ กระบะท้ายอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งหมด แต่ทรงไฟท้าย ประตู ภายในนั้นจะเป็นเหมือนกับ WRANGLER เลยนั้นเองครับแต่ความยาวแตกต่างกันไป
จุดเด่นของ WRANGLER เลยจริงๆคือการออกแบบที่สามารถถอดประตู ถอดหลังคา เปิดกระจกหน้าได้ทั้งหมด ทำให้เป็นรถยนต์สายลุยของจริง และในรุ่นนี้ก็ได้สานต่อมาเช่นกัน หลังคาแบบสีดำ สามารถถอดชิ้นได้ 3 ส่วนทั้งหมด และ ประตูสามารถถอดออกได้ทั้ง 4 บาน และกระจกบานหน้าสามารถเปิดออกได้แบบรถยนต์ Jeep ยุคสงครามโลกเลยนั้นเอง ส่วนกระบะท้ายก็มีความยาว 1.5 เมตรเรียกได้ว่ายาวและใหญ่กว่าคันอื่นเยอะมากเลยถ้าเทียบกับ 4 ประตูด้วยกันครับ รวมถึงตัวรถยนต์นั้นมีความสูงกว่ามาตรฐานและใช้งานล้อ 33 นิ้ว MT บอกเลยว่าดุดันมากๆและถ้าให้มองเทียบกับรถของแอดเองในฉากหลังเมื่อเทียบกับขนาด WRANGLER สีแดงบอกเลยว่าใหญ่โตมากๆ
งานออกแบบด้านหน้ามาพร้อมกับไฟหน้า LED กรงกลมที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกพร้อมกับสานต่อมาจนถึงยุคนี้ครับในตระกูล WRANGLER – GLADIATOR ส่วนกระจังหน้าแนวตั้งชัน 7 ซี่ ยังคงเป็นเอกลักษณ์ที่ JEEP ทุกรุ่นต้องมี แต่ในทรงแนวตั้งยาวแบบนี้จะเป็นแค่ใน WRANGLER GLADIATOR นั้นเองครับ และการออกแบบล้อที่ยื่นออกมานอกตัวถังแบบนี้ก็เป็นการออกแบบที่อิงความคลาสสิกนั้นเอง รวมถึงไฟเลี้ยว ไฟ DRL ย้ายไปตรงซุ้มล้อทั้งหมด รวมถึงกันชนแบบนี้จะเป็นแค่ตัว RUBICON นะครับการตกแต่งพร้อมกับไฟตัดหมอก รวมถึงตะขอสีแดงนั้นเอง ส่วนกระบะท้ายนั้นมีความยาวกว้างมากๆ กระบะยาวประมาณ 1.5 เมตร Jeep Gladiator จะมีระยะความสูงจากพื้นรถ 11.1 นิ้ว (282 มิลลิเมตร) มีความยาวตัวถังรถอยู่ที่ 5,181 มิลลิเมตรซึ่งยาวกว่า Wrangler Unlimited (โฉม 4 ประตู) ถึง 787 มิลลิเมตร มีระยะฐานล้อยาว 3,480 มิลลิเมตร มากกว่า Wrangler โฉม 4 ประตูอยู่ที่ 492 มิลลิเมตร ซึ่งความยาวที่เพิ่มขึ้นนี้ก็เพื่อที่จะติดตั้งกระบะท้ายรถขนาด 5 ฟุต (หรือ 1,254 มิลลิเมตร) นั่นเอง ซึ่งในรุ่น Rubicon จะมีระยะความสูงจากพื้นรถที่ 282 มิลลิเมตร มุมไต่ 43.6 องศา มุมคร่อม 20.3 องศาและมุมจาก 26 องศา มีความสามารถในการลุยน้ำที่ระดับความลึก 762 มิลลิเมตร ถือว่ารองรับการลุยได้แบบเต็มที่
เทคโนโลยีใหม่ๆใส่เข้ามาจัดเต็ม ไฟท้ายแบบ LED ทั้งหมด รูปทรงคลาสสิค เล่นลวดลายสวยงามพร้อมกับไฟหน้า LED ทั้งหมดเช่นกัน รองรับการใช้งานไฟสูงต่ำ อัตโนมัติรวมถึงมีไฟ DRL ขีดๆขวามือตรงซุ้มล้อนั้นเองครับ และกล้องหน้าหลัง ให้มาครบ พร้อมกับระบบฉีดล้างกล้อง แต่สายลุยนั้นจะไม่มีพวกกล้องรอบคัน หรือ อะไรใส่เข้ามาเพราะว่าตัว RUBICON จะเน้นมากๆในเรื่องนี้และการที่ถอดประตูอะไรออกได้นั้นทำให้พวกระบบอาจจะไม่ได้ใส่เข้ามาเยอะมากครับ แต่ กระจกไฟฟ้า ไฟเลี้ยว อะไรพวกนี้ยังคงใส่เข้ามา หรือจะเป็นระบบเตือนมุมบอดก็ยังใส่มาได้นะ
งานเชื่อมประตูยังคงเป็นเอกลักษณ์แบบนี้และจะเห็นได้เลยว่าสามารถรองรับการถอดออกมาได้เลยเป็นสลักและตัวล็อกมาตรฐาน แต่ก็ต้องมีวิธีปลดล็อกข้างใน รวมถึงสายไฟเชื่อมต่อกันข้างในตามคู่มือนะครับ มีวิธีล็อกแน่นหนาพอสมควรเลยแหละ ส่วนช่องดักลมอะไรด้านข้างก็มีใส่เข้ามาตรงโลโก้ข้างสวยงาม และกระจกมองข้างทรงสูง พร้อมไฟเลี้ยวในตัว และมีเตือนมุมบอดในฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามาได้ และมีระบบระบายฝ้าเป็นปกติ ทรงคลาสสิกเลยทีเดียว
INTERIOR
งานออกแบบภายในตัว RUBICON นั้นจะเป็นสีแดง และการตกแต่งเน้นความดุดันมากที่สุดอาจจะไม่ใช่หรูพรีเมี่ยมที่สุด แต่จะเน้นในเรื่องของการลุยมากที่สุดนั้นเอง คอนโซลกลางจะรูปทรงเด่นและควบคุมทุกอย่างไว้ตรงกลางทั้งหมด รวถมึงการเปิดปิดกระจกทั้ง 4 บานควบคุมจากตรงกลางทั้งหมดเลยนั้นเอง เพราะประตูถอดได้จะเน้นให้ระบบนั้นน้อยที่สุดตรงบานประตู ส่วนหลังคาถอดได้ 3 ส่วนและเป็นแค่โครงทั้งหมด รวมถึงกระจกหน้าก็พับออกไปได้ด้วยถือว่าเป็นค่ายเดียวที่ทำได้ในแบบกระบะแบบนี้ และพื้นที่ภายในบอกเลยว่ากว้างขวางรองรับได้สบาย
แม้จะเป็นสายลุย แต่ระบบการรองรับ ระบบเสียง หน้าจอนั้นจัดเต็มให้มาครบรองรับระบบสัมผัส Android Auto – Apple Carplay รวมถึงการรองรับแผนที่ในไทยแบบ ภาษาไทยครบพร้อมใช้งาน รองรับคำสั่งเสียงได้ทันทีและ ฟีเจอร์อื่นๆจัดเต็มไม่แพ้รถยนต์พรีเมี่ยมคันอื่นครับ แอร์แยกซ้ายขวามาให้ครบ พร้อมกับเซนเซอร์รอบคันรวมถึงการควบคุม AUX MEDIA ทั้งหลายบนพวงมาลัยใส่เข้ามาให้ครบทั้งหมดรวมถึง Cruise Control ด้วยเช่นกันครับ
หน้าปัดเป็นแบบดิจิทัลตรงกลาง พร้อมกับ เข็มไมล์อะไรเป็นมาตรฐานครับ หน้าจอกลางแสดงผลได้หลากหลายพอสมควรเลยแหละ ถือว่าทำออกมาได้ดีครับ ส่วนควบคุมตรงกลางนั้นอย่างที่แจ้งไปจะสามารถคุมกระจกทั้งหมด 4บานได้เลย และมีปุ่ม SWAYBAR OFFROAD + และการควบคุมสำหรับสายลุยทั้งหมด รวมถึงช่อง AUX 4 ตำแหน่งส่วนทางด้านหน้าจอนั้นรองรับการ ควบคุมทุกอย่างจริงๆทั้งการปรับแอร์ แบบรถยนต์สมัยใหม่เลยนั้นเองครับทำได้ดี
แอร์ตอนหลังยังคงใส่เข้ามาให้ พร้อมกับปุ่มควบคุมกระจกด้านหลัง เพราะว่าตรงประตูนั้นไม่มีนะครับพร้อมกับที่วางแก้ว 2 ตำแหน่งในด้านหลังตรงกลาง และจะเห็นว่าประตูนั้นเป็นทรงเดียวกับ WRANGLER พร้อมกับงานออกแบบที่ดิบๆแต่ก็ยังคงมีความสวยการเล่นตะเข็มสีแดงพร้อมวัสดุบุนุ่มมาให้หลากหลายจุดสมราคาค่าตัวเหมือนกันสำหรับวัสดุภายในทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้จะเป็นหนังเยอะมากนักเพราะด้วยความเป็นรถยนต์สายลุย เปิดหลังคา ประตูได้จะเน้นเรื่องความคงทนต่อสภาพอากาศมากกว่านั้นเองครับก็พอเข้าใจได้ รวมถึงพวกหลังคาก็อาจจะไม่ได้เก็บเสียงได้เทพมาก
เมื่อปิดหลังคาเราจะเห็นเลยว่าหลังคาเป็นไฟเบอร์ทั้งหมดไม่ได้มีเสริมวัสดุบุนุ่มหรือซับเสียงมากนัก เป็นปกติของรถยนต์สายลุยแบบนี้เรื่องที่ต้องเข้าใจเลยว่าเสียงเวลาขับเร็วบนถนน หรือ การใช้งานนั้นอาจจะไม่ได้เงียบมากนักและรูปทรงต้านลมแบบนี้ไม่ได้เงียบเท่าไรด้วยเช่นกัน และสายลุยจริงๆจะเป็นเบาะแบบปรับมือครับ บอกเลยว่าทาง JEEP ที่ทำรุ่นนี้ออกมาต้องเน้นเลยว่ารองรับการลุยแบบ 100% สามารถให้น้ำเข้าห้องโดยสารได้แบบไม่มีอะไรพัง ไม่กระทบระบบไฟฟ้าทั้งหมดทำให้เบาะรุ่นนี้ไม่มีระบบปรับไฟฟ้าครับ และเป็นส่วนที่เข้าใจได้ทั้งหมดกับแนวคิดของรถ พื้นที่เบาะนั้นแม้จะเป็นสายลุยแต่บอกเลยว่า มีความนุ่ม นิ่ม รองรับการนั่งได้ดีครับกระชับพอสมควรและปรับได้ง่าย พื้นที่เหนือศรีษะเยอะมากๆ และ พื้นที่วางขานั้นสบายๆ แต่ตัวเบาะนั้นบอกเลยว่านั่งสบายกว่าที่คิดไว้ตอนแรกมากๆ ส่วนเบาะหลังนั้นตอนแรกที่เห็นภายนอกคิดว่าจะชันกว่านี้แต่ก็รองรับการนั่งได้สบายกว่าที่คิดครับ มีความเอียงรับกำลังดี และพื้นที่นั่งสบายมากๆใหญ่กว้าง และ LEGROOM เหลือเฟือมากๆจนแอบคิดว่ามากเกินไปไหมบอกเลยว่าเหลือๆส่วนเบาะนั้นจะพับได้เยอะและมีห้องเก็บของลับใต้เบาะนั่งได้ด้วยครับออกแบบมาได้อิสระต่อการใช้งานอย่างมาก
เครื่องยนต์เบนซิน แบบ V6 ขนาด 3.6 ลิตร Pentastar มาพร้อมกับระบบดับและสตาร์ทเครื่องยนต์อัตโนมัติ จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่ให้แรงฉุดลากสูงที่สุด ในรถยนต์ระดับเดียวกันที่ 3,469 กิโลกรัม รองรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 725 กิโลกรัม ช่วงล่างพร้อมลุยด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Command-Trac และ Rock-Trac พร้อมระบบล็อกเฟืองหน้า – เฟืองหลัง, Trac-Lok limited-slip differential และกันโคลงแบบไฟฟ้า ทำให้เป็นเครื่องยนต์ที่น่าจะดีที่สุดของ Jeep ตอนนี้และแรงฉุดลากที่เยอะมากๆเมื่อเทียบกับเครื่องเบนซินตัวอื่นๆ ไม่นับพวกรถยนต์พลังงานไฟฟ้านะครับ ส่วนถ้า Gladiator มีระบบ PHEV เมื่อไรน่าจะสนุกเช่นกัน
JEEP GLADIATOR RUBICON
เมื่อตำนานกลับมา ย่อมไม่ธรรมดา JEEP กลับมาในไทยแบบทางการพร้อมกับการวางแผนลุยตลาดไปหลากหลายรุ่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และทางเราก็ได้คุยกันรู้สึกเลยว่าครั้งนี้แอบมีความหวังครับ มีการวางแผนเอารุ่นเล็ก รุ่นอื่นๆเข้ามาขายในไทยด้วยเช่นกัน และการรับประกัน อะไหล่ บริการหลังการขายนั้นเตรียมพร้อมอย่างมากรู้สึกเลยว่ามีความมั่นใจมากขึ้นในระยะยาว และ ทาง Jeep เองก็มีแผนจะดูแลรถยนต์รุ่นเก่าได้ด้วยเช่นกันครั และทางรุ่นที่เอามาขายในไทยนั้นจะเป็นการ แก้ Software และ ปรับระบบทำความเย็นของตัวรถให้มีความใหญ่กว่ารถที่ขายเมืองหนาว รวมถึงรองรับสภาพอากาศในไทยได้ดีกว่าทั่วไปที่ขายเมืองหนาวครับทำให้เรื่องความร้อนนั้นไว้ใจได้สบายๆเลยทีเดียว และการเป็นรถนำเข้าแน่นอนว่าราคาอาจจะสูงไปในช่วงนี้แต่ถ้ามองเทียบกับประสิทธิภาพ สิ่งที่ได้กับระบบขับเคลื่อน การออกแบบแบบนี้บอกเลยว่า สมราคาครับ และตัวรถมีความพรีเมี่ยมมากขึ้นจาก Jeep ยุคก่อนและขับขี่สนุกเช่นเดิม
สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
By Nineztr