The Whale ถือเป็นภาพยนตร์ดราม่าที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับครูสอนภาษาอังกฤษที่เป็นโรคอ้วน เป็นคนเก็บตัวอยู่แต่ในห้องพักของตัวเอง หาเลี้ยงชีพโดยการสอนหนังสือเด็กมหาลัยทางออนไลน์ ไม่ลงรอยกับลูกสาวตัวเองเท่าไรนัก และอาศัยการกินเป็นกลไกรับมือกับความเศร้าที่เกิดจากความเสียใจในอดีต และใช้ชีวิตแบบรอวันตายไปวันๆ
แม้จะโฟกัสกับการเล่าเรื่องของตัวละครหลักผ่านฉากเพียงไม่กี่ฉาก แต่มันกลับอาศัยการเล่าเรื่อง ดนตรีประกอบฉาก และการแสดงของตัวละครในการดึงดูดความสนใจของผู้ชม และเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของคนดูได้เป็นอย่างดีตลอดความยาว 1 ชั่วโมง 57 นาที ของตัวหนัง เรียกได้ว่าสะกิดต่อมน้ำตาใครหลายคนให้แตกได้เลย
การเล่าเรื่องตัวหนังถ่ายทอดแกนเรื่องหลักออกมาได้ค่อนข้างเข้าใจง่าย และมีการวางปมใหญ่ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง โดยใช้การวางปมอื่นๆไปทีละเล็กทีละน้อย ประกอบเรื่องราวชีวิตของตัวละครเอก และมีการนำตัวละครอื่นๆเข้ามาเพื่อเฉลยปมของตัวหนังไปทีละเล็กน้อยเช่นกัน เรียกได้ว่าทำให้ต้องตั้งใจดูในทุกๆฉากเพื่อให้เข้าใจภูมิหลังชีวิตของตัวเอกให้รอบด้าน และมีการขมวดปมทุกอย่างและปล่อยตูมออกมาในฉากจบ ชนิดที่ไม่เศร้าก็ต่อมน้ำตาแตกกันเป็นแถว ส่วนระหว่างทางแม้ว่าตัวหนังจะทำให้คนดูหายใจไม่ทั่วท้องแทบจะตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็สลับระหว่างอารมณ์เศร้าแบบจัดเต็ม กับฉากผ่อนความตึงเครียดลงเล็กน้อยโดยอาจใช้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเข้ามาจับได้ในจังหวะที่เหมาะสม
นักแสดงนำอย่างเบรนแดน เฟรเซอร์ก็ถ่ายทอดอารมณ์เศร้า ความหม่นหมอง และการจมปลักอยู่กับความผิดพลาดและความเสียใจในอดีตของตัวละครได้ดีมาก การเกลี่ยบทของตัวละครที่สำคัญสามารถทำได้ดี บทไม่ไปกระจุกกับตัวละครรองตัวหนึ่งมากเกินไป และทุกตัวละครที่ใส่มาล้วนมีผลต่อการดำเนินเนื้อเรื่อง การเปลี่ยนอารมณ์ของตัวหนังเป็นอย่างดี แม้ตัวละครบางตัวจะโผล่มาแค่ 2-3 ฉาก แต่กลับกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการเร่งอารมณ์ของตัวหนังได้เป็นอย่างดี
นอกจากการแสดงของนักแสดงและบทของตัวละครที่ทำให้คนดูอินแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดนตรีประกอบในเรื่องนีี้ทำได้ดีมาก สามารถดึงความเศร้า ความหม่นหมองตามธีมของตัวหนังออกมาได้อย่างดี เรียกได้ว่าทำให้ขนลุกได้เลยในหลายๆฉาก ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญมากในการเพิ่มความน่าสนใจของหนังที่มี set up การแสดงด้วยฉากเพียงไม่กี่ฉากเท่านั้น
โดยสรุปแล้วคนที่คาดหวังจะเข้าไปเสพอารมณ์ความหม่นหมองของตัวละครที่เจอปัญหาสุขภาพด้านความอ้วน และจมปลักอยู่กับความเสียในอดีต ถือว่าไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะนอกจากการเดินเรื่องแล้ว ความสามารถของนักแสดงก็ทำให้ตัวหนังสามารถ touch จิตใจและอารมณ์คนดูได้แบบอยู่หมัด แต่ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการดูอะไรที่เบาสมองมากนัก เพราะตัวหนังมีอะไรให้คิดตามอยู่ตลอดเวลา และทุกปมที่ถูกใส่มามีส่วนสำคัญกับเนื้อเรื่องทั้งสิ้น รวมทั้งมีเรื่องอื่นๆให้ชวนขบคิดกับแบบปลายเปิด ทั้งประเด็นด้านศาสนา ศีลธรรมความถูกต้อง และประเด็นความหลากหลายทางเพศ เรียกได้ว่าเป็นหนังคุณภาพที่คุ้มค่าตั๋วทุกบาททุกสตางค์จริงๆ