วิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตยุคที่ 3 หรือ Web 3.0 (WEB3) เปิดโอกาสให้ “โลกเสมือนจริง” กลายเป็นพื้นที่ใหม่ สามารถสร้าง “ประสบการณ์จริง” ในรูปแบบใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้งาน คนที่มีไอเดีย ภาคธุรกิจ แบรนด์ต่างๆ สร้างสรรค์นวัตกรรม หรือโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เชื่อมต่อกับผู้คนในโลกเสมือนได้ทั่วโลกอย่างง่ายดาย เกิดการซื้อขายและจ่ายเงินจริงในรูปแบบเงินคริปโต/NFTs (Non-Fungible token) ซึ่งมาพร้อมกับความปลอดภัย โปร่งใสในการตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข้อมูล และตัวตนเจ้าของด้วยระบบบล็อกเชน เป็นที่น่าสนใจว่าในยุคแห่ง Web 3.0 ประเทศไทย ได้รับความสนใจจากหลายบริษัทระดับโลก ที่เชื่อมั่นในอนาคตประเทศไทยว่า จะสามารถเป็นเกตเวย์ของแพลตฟอร์มธุรกิจด้าน Web 3.0 และบล็อกเชน สำหรับต่อยอดขยายบริการในระดับเอเชีย และทั่วโลกในระยะต่อไป
ประเทศไทยมี DNA ของ Web 3.0
นางสาวชญาภา จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท The Pink Lab กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทย ได้รับการจับตามองจากบริษัทผู้นำด้าน Web 3.0 และบล็อกเชนทั้งระดับโลกและเอเชียมีศักยภาพสำหรับการเข้ามาลงทุน และทำงานร่วมกัน กระตุ้นให้ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดีย ใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงนี้ สร้างนวัตกรรม สร้างโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่และทำงานร่วมกัน แบ่งปันประสบการณ์ระดับโลก เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สู่ตลาดที่สร้างผลกระทบให้กับทั้งผู้ใช้งาน ธุรกิจ และสังคม
ทั้งนี้ วิวัฒนาการของ Web 3.0 ที่เพิ่มศักยภาพสนับสนุนการทำธุรกรรมข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ระหว่างกระเป๋าเงินดิจิทัลบนบล็อกเชน มีบทบาทเป็นมากกว่าแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี แต่คือ “ความหลากหลาย และอนาคต” ซึ่ง Pink Lab ได้จัดแบ่ง 5 หมวดหมู่ ที่สามารถใช้ Web 3.0 มาเป็นโซลูชั่นสร้างโอกาส ประกอบด้วย 1.เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ บล็อกเชน และ Smart Contact 2.สินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ เงินคริปโต และ NFTs 3.แพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Platforms) ซึ่งรวมถึง เมตาเวิร์ส 4.โครงสร้างพื้นฐาน และ 5.การเชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน (User Interfaces) ผ่านแอปที่พัฒนาบนบล็อกเชน และกระเป๋าเงินดิจิทัล
หัวใจสำคัญของ Web 3.0 คือ การสร้างนวัตกรรม การสร้างสรรค์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นบนเทคโนโลยีนี้ จึงขึ้นอยู่กับ “คน” คนที่มีวิสัยทัศน์ มีแนวคิดเบื้องหลังผลิตภัณฑ์อันยิ่งใหญ่ และมุ่งไปข้างหน้าเพื่อทำตามฝัน ดังนั้นการเปิดพื้นที่ “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX”บนเนื้อที่กว่า 4,000 ตร.ม. ของชั้น 4 สยามพารากอน จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการอย่างดี ซึ่งสยามพิวรรธน์ มองถึงการสร้างสิ่งต่างๆ ร่วมกัน (Co-Creation) ทั้งกับผู้เช่าพื้นที่ ผู้บริโภค และสำคัญที่สุดคือ ผู้คนจากทั่วโลกนำประสบการณ์ที่ดีที่สุดมาให้ทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกัน เป็นเรื่องการสร้างนวัตกรรม และจะมีผลิตภัณฑ์หลายอย่างภายใต้คอนเซปต์ Web 3.0 ออกสู่ตลาด
บิ๊ก WEB 3 เกาหลีมองโอกาสผนึกไทยบุกตลาดโลก
นายไซมอน โซจุน คิม (Mr. Simon Seojoon Kim) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหุ้นส่วนผู้จัดการ บริษัท Hashed นักลงทุนด้าน Web 3.0 รายใหญ่สุดของเกาหลีใต้ กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยและเกาหลีใต้ กำลังกลายเป็นตลาดสำคัญ โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากความเฟื่องฟูของธุรกรรมเงินดิจิทัล (คริปโต) สอดคล้องกับภาพรวมของระบบนิเวศคริปโตทั่วโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา โดย เกาหลีใต้ กลายเป็นผู้บุกเบิกแถวหน้าของ Web 3.0 ด้วยชื่อเสียงทั่วโลกในเรื่องราคาพรีเมียมของตลาดซื้อขายเงินบิทคอยน์สูงสุด (Kimchi Premium) และมีปริมาณการซื้อขายในตลาดเทรดคริปโตบนแพลตฟอร์ม ตัวกลางแลกเปลี่ยน หรือ CEX (Centralized Cryptocurrency Exchange) ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และประเทศไทย ก็มีจำนวนผู้ถือครองเงินคริปโต ติดอันดับ 1 ของโลก การนำจุดแข็งของทั้งสองประเทศมาเติมเต็มให้กัน เพื่อต่อยอดการประยุกต์ใช้บล็อกเชน และ Web 3.0 มาสร้างแพลตฟอร์มใหม่ๆ ขยายพื้นที่ทางธุรกิจและการตลาดออกไปสู่เอเชีย โดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง
ไทยมีโอกาสสูง จากปัจจัย 3 ด้าน ได้แก่ 1.การท่องเที่ยว 2.มรดกทางวัฒนธรรม และ 3.ความโอบอ้อมอารี ดังนั้นถ้ามีการนำเอา “เทคโนโลยี” เข้ามาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องใน 3 ด้านนี้ เสริมให้บทบาทสำคัญในเรื่อง WEB 3 อย่างแน่นอน เพราะสามารถนำบล็อกเชนเข้ามาใช้ร่วมด้วย ในภาคท่องเที่ยวของประเทศไทย ติดอันดับ 4 ของโลก ด้านการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นอันดับ 5 ของประเทศที่มีอิทธิพลด้านมรดกวัฒนธรรมของโลก และอันดับ 4 ของจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่น่าไปเยือนที่สุดในโลก ขณะเดียวกันไทยมีผู้ถือเหรียญคริปโตมากสุด อันดับ 1 ของโลก เรียกได้ว่า มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอุตสาหกรรมบล็อกเชน จากจุดแข็งนี้ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางแพลตฟอร์มการท่องเที่ยว ที่กระจายครอบคลุมทั่วโลกได้ บนรูปแบบธุรกิจแบบ Just go and do it ในหลักการเดียวกับที่ AirBnB ใช้นิวยอร์กเป็นศูนย์กลาง เพราะเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
จับมือ SCBX สร้างพื้นที่วิจัยและทดสอบ WEB3
นอกจากนี้ ล่าสุด Hashed ได้จัดตั้งความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศไทย คือ SCBX เปิดตัว ShardLab เป็นพื้นที่วิจัยและพัฒนา และทดสอบเทคโนโลยีต่างๆ บน Web 3.0 ได้แก่ การปรับแต่งบัญชีอัจฉริยะเพื่อให้สามารถโต้ตอบกับบล็อกเชนได้ง่ายขึ้น (Account Abstraction) รวมถึงอีกหลายโครงการนำร่องสำหรับอีกหลายอุตสาหกรรม เป็นการผสานจุดแข็งมุ่งหวังกระตุ้นการใช้งานเทคโนโลยี WEB3 และบล็อกเชนในประเทศไทย เพื่อตอบรับความท้าทายของภูมิภาคเอเชีย และความท้าทายในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ โดยมุ่งหวังให้สองประเทศทำงานร่วมกันเพื่อเป็นเกตเวย์สำหรับตลาด WEB3
ด้าน มร.โฮจิน คิม ซีเอสโอของ UNPND และซีอีโอ ShardLab กล่าวว่า ShardLab คือหน่วยงานที่เป็นแขนขาสำคัญด้านนวัตกรรม (Innovative Arm) ของ Hashed ดังนั้น การทำงานร่วมกันครั้งนี้ นอกจากตอบสนองตลาดประเทศไทย ยังมองครอบคลุมตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นภูมิภาคที่มาแรงสำหรับตลาด WEB3 มุ่งนำเสนอเทคโนโลยีที่ใช้บล็อกเชนแก้ปัญหา (pain point) ที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งการนำมาประยุกต์ใช้ในแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานจริง จะช่วยสร้างผลกระทบในแง่นวัตกรรมให้กับอุตสาหกรรม ภายใน ShardLab ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1.งานวิจัยพัฒนาและทดสอบโครงการนำร่อง เพื่อให้สามารถผลักดันออกสู่ตลาดได้จริง 2.โครงการอบรมนักพัฒนา WEB3 และ 3.โครงการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับ WEB3