Apple ได้จัดงาน WWDC ประจำปีขึ้นที่ San Jose, California ซึ่งทางบริษัทก็ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Mac Pro และ Pro, IOS 13 ที่มาพร้อม dark mode, MacOS Catalina และระบบปฏิบัติการใหม่บน iPad ที่ชื่อว่า iPadOS
IOS 13
นับว่ามันคือสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการเปิดตัวครั้งนี้เลยทีเดียว
- มันจะมาพร้อม dark mode ที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถใช้ได้กับทุกแอพ แต่สามารถใช้ได้กับแอพของ apple ทุกแอพ รวมไปถึงแอพ third party ก็สามารถปรับให้เข้ากับ dark mode ได้เช่นกัน และหากว่า iPhone ของคุณเป็นรุ่นที่ใช้จอ OLED การใช้ dark mode ก็อาจจะสามารถยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้
- มันจะทำงานเร็วขึ้นแน่นอน โดยปลดล็อคด้วยใบหน้าเร็วขึ้น 30% และสามารถเปิดแอพได้เร็วขึ้นถึง 2 เท่า รวมไปถึงการโหลดแอพจะกินพื้นที่ลดลง 50% และการอัพเดทแอพจะกินพื้นที่ลดลง 60%
- มีคีย์บอร์ดที่สามารถปัดเพื่อพิมพ์ได้เหมือนใน Android แล้ว
- ความเป็นส่วนตัวจะเพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถเปิดให้ระบุตำแหน่งแบบครั้งเดียวในตอนที่เปิดแอพได้แล้ว และจะแจ้งเตือนเมื่อการระบุตำแหน่งทำงานบน background อยู่ด้วย
- Apple ยังเพิ่มระบบ Sign in ด้วย Apple ID ของคุณบนแอพต่างๆได้ และสามารถใช้ FaceID และ TouchID ได้ด้วยเช่นกัน
- ระบบแผนที่ใหม่ที่คล้ายกับ Google Street view บน Android ซึ่งในตอนนี้ยังครอบคลุมแค่บางเมืองที่กำหนดเท่านั้น
- ระบบ Memoji ที่สามารถระบุตัวตนของเรา เมื่อส่งข้อความไปหาคนที่ไม่มีรายละเอียดข้อมูลของเราเลยก็ได้
- ระบบ Edit รูปภาพแบบใหม่ ที่ใช้ machine learning ของ Apple เข้ามาช่วยให้ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น
- Siri มีแอพเป็นของตัวเองแล้ว
- เสียงของ Siri ที่ดีมากขึ้น มีความเป็นหุ่นยนต์น้อยลง และสามารถอ่านข้อความให้เราฟังได้หากว่าเราใส่ Airpods อยู่ รวมทั้ง Siri สามารถเล่นวิทยุสดได้กว่า 100,000 สถานีทั่วโลก
- รายชื่อ iPhone ที่สามารถอัปเดต iOS 13
- iPhone XS
- iPhone XS Max
- iPhone XR
- iPhone X
- iPhone 8
- iPhone 8 Plus
- iPhone 7
- iPhone 7 Plus
- iPhone 6s
- iPhone 6s Plus
- iPhone SE
iPadOS
iPad ก็ได้มีอายุครบ 9 ปีเรียบร้อยแล้ว และในตอนนี้มันก็พร้อมที่จะมีระบบปฏิบัติการของตัวเองแล้ว
- ทำให้การจัดเรียงของแอพเล็กลง ทำให้สามารถจุบนหน้า iPad ได้มากขึ้น รวมทั้งรองรับ widget ต่างๆด้วย
- split screen สามารถเปิดแอพเดียว พร้อมกัน 2 หน้าได้แล้ว
- ทำให้ iPad สามารถรองรับ thumbdrive ได้แล้ว รวมไปทั้งรองรับไฟล์ Zip ได้ในอนาคต
- Safari ก็ถูกปรับให้ดีขึ้น โดยมี download manager เป็นของตัวเองแล้ว รวททั้งมีปุ่มลัดบน keyboard กว่า 30 ปุ่ม
- สามารถ copy และ paste ได้ด้วยการใช้ 3 นิ้ว หุบลงตรงที่เราต้องการ copy หรือ paste และสามารถ undo ได้โดยใช้ 3 นิ้วในการปัดเช่นกัน
- Apple pencil ก็ถูกปรับลดดีเลย์ลงจาก 20ms เหลือ 9ms ด้วย
- อุปกรณ์ที่รองรับ iPad OS
- iPad 12.9-inch
- iPad Pro Gen 1-3
- 11-inch iPad Pro
- 10.5-inch iPad Pro
- 9.7-inch iPad Pro
- iPad Gan 5-6
- iPad Air 2-3
- iPad mini 4-5
MacOS Catalina
- มันจะมาทำหน้าที่แทนแอพ iTunes โดยมันจะมี 3 แอพย่อยคือ Music, podcasts และ TV (ที่รองรับ 4K HDR และ Dolby Atmos)
- สามารถต่อ iPad เพื่อเป็นจอแยกให้กับ MacBook ได้
- เพิ่มระบบสั่งการด้วยเสียงแบบเต็มรูปแบบ ทำให้สั่งการได้สะดวกยิ่งขึ้น
- Fine My Mac ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Fine My ซึ่งมันจะทำงานแม้เครื่องถูกปิดอยู่ และจะปล่อยสัญญาณแบบอ่อนๆเพื่อลดการใช้แบตเตอรี่ ทำให้มีเวลาในการค้นหา MacBook ที่สูญหายของคุณได้นานยิ่งขึ้น
- เพิ่มระบบ Activaion Lock ที่จะทำงานบนอุปกรณ์ที่เปิด T2 อยู่ทำให้ไม่มีใครสามารถใช้ MacBook ของคุณที่ถูกขโมยไปได้เลย เว้นแต่จะใช้หลักฐานยืนยันตัวคุณเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้
- คาดว่ามันจะเปิดให้ใช้งานได้ ในฤดูใบไม่ร่วงนี้ แต่ตัว beta เปิดให้ใช้แล้ววันนี้